Strategic Bitcoin Reserves คืออะไร – ทำความเข้าใจการสำรอง BTC เชิงกลยุทธ์

Pattada L.
| 11 min read
Michael Saylor เสนอให้สหรัฐอเมริกาจัดตั้งกองทุนสำรองบิทคอยน์เชิงกลยุทธ์ หรือ Strategic Bitcoin Reserve

บทนำ: สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับ Strategic Bitcoin Reserve


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิดของ Strategic Bitcoin Reserve หรือ การสำรองบิทคอยน์เชิงกลยุทธ์ ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมากจากทั้งรัฐบาล บริษัทเอกชน และผู้กำหนดนโยบายทั่วโลก การถือครอง Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์สำรองเชิงกลยุทธ์นั้นถูกมองว่าเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับสินทรัพย์สำรองแบบดั้งเดิม เช่น ทองคำและเงินตราต่างประเทศ

ภาพรวมของการสำรอง Bitcoin เชิงกลยุทธ์และการยอมรับในปัจจุบัน

ประเทศและรัฐบาลที่ถือครอง Bitcoin: ใครคือผู้เล่นหลักระดับโลก?

การสำรอง Bitcoin เชิงกลยุทธ์ของประเทศต่าง ๆ กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลเริ่มมองว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองที่มีศักยภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากการลดค่าเงินและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

หลายประเทศและหลายรัฐในอเมริกา ได้เริ่มสำรวจและผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนสำรองบิทคอยน์เชิงกลยุทธ์แล้ว ตัวอย่างเช่น รัฐเท็กซัสได้ยื่นข้อเสนอ “Texas Strategic Bitcoin Reserve and Investment Act” ซึ่งจะอนุญาตให้รัฐลงทุนในบิทคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ ที่มีมูลค่าตลาดสูง

VanEck รายงานว่า หากกฎหมายใน 20 รัฐของสหรัฐฯ ผ่านการอนุมัติ อาจมีการลงทุนในบิทคอยน์สูงถึง 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 247,000 BTC

สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ถือครอง Bitcoin รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีประมาณ 213,297 BTC ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การปิดตลาดมืด Silk Road เป็นต้น โดย CoinGecko ระบุว่ามูลค่าของ Bitcoin ที่รัฐบาลสหรัฐถือครองอยู่ประมาณ 1.96 หมื่นล้านดอลลาร์

ประเทศสหรัฐอเมริกาถือครอง BTC มากที่สุด

ตัวอย่างประเทศอื่นที่ถือครองบิทคอยน์:

  • จีน: แม้ว่าจีนจะมีนโยบายที่เข้มงวดต่ออุตสาหกรรมคริปโต เช่น การแบนการขุดและการซื้อขาย Bitcoin แต่รัฐบาลจีนยังถือครอง Bitcoin จำนวน 194,000 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 18,683,647,240 ดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย
  • เอลซัลวาดอร์: ประเทศแรกที่ประกาศให้ Bitcoin เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายในปี 2021 ปัจจุบันเอลซัลวาดอร์ถือครอง Bitcoin จำนวน 6,002 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 578,037,374 ดอลลาร์ และยังคงดำเนินนโยบาย “ซื้อ Bitcoin วันละ 1 เหรียญ” ตั้งแต่ปี 2022 ข้อมูลจาก QZ
  • ยูเครน: ยูเครนใช้ Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนกองทุนเพื่อการป้องกันประเทศในช่วงสงครามกับรัสเซีย โดยถือครอง Bitcoin จำนวน 46,351 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4,463,947,078 ดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมีประเทศอื่น ๆ เช่น สหราชอาณาจักร (61,000 BTC), ภูฏาน (13,029 BTC) และฟินแลนด์ (1,981 BTC) ที่ถือครอง Bitcoin ในระดับที่น้อยกว่า แต่ยังคงสะท้อนถึงความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลนี้

บริษัทเอกชนและกองทุน ETF: การถือครอง Bitcoin ในภาคธุรกิจ

นอกจากรัฐบาลแล้ว บริษัทเอกชนและกองทุน ETF ก็เป็นอีกผู้เล่นสำคัญที่ถือครอง Bitcoin ในปริมาณมาก โดยเฉพาะบริษัทที่มองว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองที่มีศักยภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ

MicroStrategy เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Strategy พร้อมลุยซื้อ BTC ต่อเนื่อง

บริษัทเอกชนที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุด

  • MicroStrategy: บริษัทซอฟต์แวร์ที่มีชื่อเสียงในด้านการลงทุนใน Bitcoin โดยถือครอง Bitcoin จำนวน 478,740 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 46,106,233,400 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2.28% ของจำนวน Bitcoin ทั้งหมด (ข้อมูลจาก Bitcoin Treasuries)
  • Tesla: บริษัทของ Elon Musk ถือครอง Bitcoin จำนวน 11,509 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,108,402,557 ดอลลาร์ แม้ว่า Tesla จะขายเหรียญไปบางส่วนในช่วงปี 2022 แต่ยังคงถือครองในระดับมหาศาล
  • Marathon Digital Holdings: บริษัทเหมืองบิทคอยน์ในสหรัฐฯ ถือครอง Bitcoin จำนวน 40,435 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,894,192,145 ดอลลาร์
  • Block.one: บริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชน ถือครองอยู่จำนวน 140,000 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 13,483,044,400 ดอลลาร์

กองทุน ETF ที่ถือครอง Bitcoin

  • iShares Bitcoin Trust (BlackRock): กองทุน ETF ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถือครอง Bitcoin จำนวน 587,777.9 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 56,607,396,593 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2.799% ของจำนวน Bitcoin ทั้งหมด
  • Grayscale Bitcoin Trust (GBTC): กองทุนที่มีชื่อเสียงในตลาดคริปโต ถือครอง Bitcoin จำนวน 199,602.7 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 19,223,229,046 ดอลลาร์

สรุปได้ว่าการถือครอง Bitcoin ของบริษัทเอกชนและกองทุน ETF ไม่เพียงแต่แสดงถึงความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัลนี้ แต่ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับบิทคอยน์ในฐานะสินทรัพย์สำรองที่สำคัญด้วย

เปรียบเทียบระหว่าง Bitcoin และสินทรัพย์สำรองแบบดั้งเดิม


บิทคอยน์ vs ทองคำ

บิทคอยน์มักถูกเปรียบเทียบกับทองคำในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven Asset) และยังมีการเปรียบเทียบกับทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในแง่ของบทบาทในการสนับสนุนเศรษฐกิจ

Bitcoin มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากสินทรัพย์สำรองแบบดั้งเดิม เช่น ทองคำและเงินตราต่างประเทศ โดยบิทคอยน์มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งหมายความว่ามันมี supply ที่จำกัด มีความขาดแคลนและความเป็น “เงินที่แข็งแกร่ง” (Hard Money)

ในขณะที่ทองคำและเงินตราต่างประเทศต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการเพิ่มปริมาณ supply ในตลาด

ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดย World Gold Council ระบุว่าปริมาณทองคำสำรองทั่วโลกมีประมาณ 35,938.6 ตัน โดยสหรัฐฯ ถือครองทองคำสำรองมากที่สุดอยู่ที่ 8,133.5 ตัน

ความแตกต่าง บิทคอยน์ vs ทองคำ

  • ความหายาก: Bitcoin มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ในขณะที่ทองคำยังคงสามารถขุดเพิ่มได้ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดทางกายภาพในแง่ของการสำรวจและการขุดอยู่บ้าง
  • การโอนย้าย: Bitcoin สามารถโอนย้ายได้อย่างรวดเร็วและมีต้นทุนต่ำผ่านเครือข่ายบล็อกเชน ในขณะที่ทองคำต้องอาศัยการขนส่งทางกายภาพ
  • การตรวจสอบความถูกต้อง: Bitcoin สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ทันทีผ่านเครือข่าย ในขณะที่ทองคำต้องอาศัยการตรวจสอบทางกายภาพ
  • ความผันผวน: Bitcoin มีความผันผวนสูงกว่าทองคำอย่างมาก โดยมีค่า Value-at-Risk (VaR) สูงกว่าทองคำถึง 5 เท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา (World Gold Council)
  • การใช้งานในระบบการเงิน: ทองคำได้รับการยอมรับในฐานะสินทรัพย์สำรองจากธนาคารกลางทั่วโลก ในขณะที่ Bitcoin ยังไม่ได้รับการยอมรับในระดับเดียวกัน
คุณสมบัติ Bitcoin ทองคำ
ปริมาณสำรอง 198,100 BTC (รัฐบาลสหรัฐ) 147 ล้านออนซ์ (ใน Fort Knox ของสหรัฐ)
ความผันผวน (VaR) สูงกว่าทองคำ 5 เท่า ต่ำกว่า Bitcoin
ได้รับการยอมรับในระบบการเงิน ยังจำกัด สูง (ธนาคารกลางทั่วโลก)

ในขณะเดียวกัน ถ้าเปรียบเทียบบิทคอยน์กับเงินตราต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐหรือยูโร Bitcoin นับว่ามีข้อได้เปรียบในด้านความเป็นกลางและการกระจายศูนย์ (Decentralization) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการควบคุมของรัฐบาลหรือธนาคารกลาง

ความแตกต่าง บิทคอยน์ vs ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ

  • ความเป็นอิสระจากรัฐบาล: Bitcoin ไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลางใด ๆ ซึ่งแตกต่างจากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ขึ้นอยู่กับความมั่นคงของประเทศที่ออกสกุลเงิน
  • ความโปร่งใส: การถือครอง Bitcoin สามารถตรวจสอบได้ผ่านบล็อกเชน ซึ่งต่างจากทุนสำรองเงินตราที่อาจขาดความโปร่งใส เช่น กรณีของ Fort Knox ที่ไม่มีการตรวจสอบทองคำสำรองมาตั้งแต่ปี 1974
  • การกระจายความเสี่ยง: Bitcoin สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาสกุลเงินเดียว เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก
  • ความผันผวน: แม้ว่า Bitcoin จะมีความผันผวนสูงและมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินในระยะสั้น แต่ก็มีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าในระยะยาว ในขณะที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมักมีความเสถียรแต่มีอัตราผลตอบแทนต่ำ
คุณสมบัติ Bitcoin เงินตราต่างประเทศ
ความโปร่งใส สูง (ตรวจสอบผ่านบล็อกเชน) ต่ำ (ขึ้นอยู่กับรายงานของธนาคารกลาง)
ความผันผวน สูง ต่ำ
การยอมรับในระดับสากล ยังจำกัด สูง
มูลค่าตลาดรวม (2025) 5 แสนล้านดอลลาร์ หลายล้านล้านดอลลาร์

ในภาพรวมแล้ว การจัดตั้ง Strategic Bitcoin Reserve อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินโลก โดยเฉพาะในยุคที่สินทรัพย์ดิจิทัลเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงและการกระจายพอร์ตการลงทุนของทั้งประเทศและองค์กรต่างๆ

ความท้าทายและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจาก Strategic Bitcoin Reserve


การสำรอง Bitcoin เชิงกลยุทธ์ อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในยุคที่ความเชื่อมั่นในสกุลเงินสำรองแบบดั้งเดิม เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือยูโร กำลังลดลงจากการใช้จ่ายงบประมาณที่เกินตัวและนโยบายทางการเงินที่ไม่ยั่งยืนของประเทศผู้ออกสกุลเงินเหล่านั้น

ภาพ Bitcoin กับการเคลื่อนไหวที่ผันผวน และราคาที่วิ่งอย่างรวดเร็ว

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า Bitcoin ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แตกต่างจากสินทรัพย์สำรองแบบดั้งเดิมด้วยนโยบายการเงินที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (Immutable Monetary Policy) และจำนวนที่ถูกกำหนดอย่างตายตัวที่ 21 ล้านเหรียญ

นอกจากนี้ยังไม่มีการควบคุมโดยรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง ซึ่งทำให้มันกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีความเป็นกลางและสามารถใช้งานได้ในระดับสากล แถมยังมีการพัฒนาระบบ Layer2 อย่าง Lightning Network ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของ Bitcoin ในการรองรับธุรกรรมจำนวนมาก โดยทำให้การใช้งานในระดับสากลมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น

แต่ก็มาพร้อมผลกระทบและความท้าทายบางประการ เช่น:

การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทุนสำรองระหว่างประเทศ

Strategic Bitcoin Reserve อาจลดสัดส่วนการถือครองสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เยน และปอนด์อังกฤษ ในทุนสำรองระหว่างประเทศ

รายงานจาก VanEck คาดการณ์ว่า Bitcoin อาจเพิ่มสัดส่วนในทุนสำรองระหว่างประเทศเป็น 2.5% ภายในปี 2050

ความผันผวนของราคา

แนวโน้มราคา Bitcoin มีความผันผวนสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของทุนสำรอง

การยอมรับในระดับโลก

แม้ Bitcoin จะได้รับการยอมรับในวงกว้าง แต่ยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับกฎระเบียบและการใช้งานในบางประเทศ

การใช้งานยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีที่ซับซ้อน

แม้สินทรัพย์อย่างทองคำต้องอาศัยการสำรวจและการขุดอย่างจริงจัง ในขณะที่บิทคอยน์ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เป็นหลัก แต่การใช้งานบิทคอยน์ก็ยังต้องอาศัยความชำนาญและเทคโนโลยีที่ซับซ้อน แถมการขุด Bitcoin ก็ยังต้องใช้ไฟฟ้ามหาศาล

การแข่งขันระหว่างประเทศ

การที่ประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐฯ และจีน ถือครอง Bitcoin ในปริมาณมาก อาจนำไปสู่การแข่งขันสะสม Bitcoin ระหว่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงในอำนาจทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ประเทศที่มีการสะสม Bitcoin มากอาจมีอำนาจต่อรองในเศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ

สหรัฐฯ ได้รับรายได้หลายล้านดอลลาร์จากการขาย Bitcoin ที่ยึดได้จากกิจกรรมผิดกฎหมาย

ในขณะที่การสำรองบิทคอยน์อาจกระตุ้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น การขุด Bitcoin และโครงสร้างพื้นฐาน Blockchain

ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

การโจมตีทางไซเบอร์อาจเป็นภัยคุกคามด้านความปลอดภัยต่อการจัดเก็บ Bitcoin ของรัฐบาลได้

บทสรุป


Strategic Bitcoin Reserve กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในระดับประเทศและองค์กร โดยประเทศที่ถือครองบิทคอยน์มากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา รองลงมาคือ จีน และ เอลซัลวาดอร์ ซึ่งเป็นประเทศแรกที่ประกาศให้ Bitcoin เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย

ในภาคองค์กร Strategy (ชื่อเดิม MicroStrategy) เป็นบริษัทที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุด โดยมองว่า BTC เป็นสินทรัพย์สำรองที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์สำรองแบบดั้งเดิม เช่น ทองคำและทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ Bitcoin มีข้อได้เปรียบในด้านความโปร่งใส ความสามารถในการโอนย้าย และการกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม Bitcoin ก็ยังมีข้อจำกัดในด้านความผันผวนสูงและการยอมรับในระดับสากลอยู่

แม้ว่าจะยังไม่สามารถแทนที่สินทรัพย์สำรองแบบดั้งเดิมได้ในทันที แต่การสำรอง Bitcoin เชิงกลยุทธ์ก็อาจกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินในอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมีบทบาทสำคัญ

References

คำเตือน: คริปโตเป็นสินทรัพย์ประเภทความเสี่ยงสูง บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลและไม่ได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อเป็นการชี้ชวนให้มีการลงทุน การใช้งานเว็บไซต์นี้แสดงว่าคุณยอมรับในข้อกำหนดและเงื่อนไขของเรา เราอาจใช้ลิงค์พันธมิตรภายในเนื้อหาของเราและรับค่าคอมมิชชัน

About Cryptonews