รัฐบาล Trump จะใช้ Crypto ค้ำบ้าน เสี่ยงวิกฤตการเงินรอบใหม่หรือไม่?

หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเคหะของสหรัฐฯ สร้างความประหลาดใจด้วยการประกาศนโยบายใหม่ ที่อาจอนุญาตให้ผู้กู้สามารถใช้สินทรัพย์ Crypto เพื่อยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้

แนวคิดนี้ได้รับการผลักดันโดย Bill Pulte ผู้อำนวยการ FHFA ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางคริปโตของโลก แม้ว่าข่าวนี้จะสร้างความยินดีให้กับนักลงทุนอย่าง Michael Saylor แต่ก็จุดประกายความกังวลถึงความเสี่ยงที่อาจตามมาอย่างมหาศาล

วิเคราะห์ความเสี่ยง: ทำไมการใช้ Crypto ค้ำประกันบ้านอาจนำไปสู่หายนะ?

ความผันผวนคือความเสี่ยงอันดับแรกที่ต้องพิจารณา เราต่างทราบดีว่าราคา Bitcoin นั้นแกว่งตัวรุนแรงเพียงใด จากการพุ่งขึ้นจาก 61,000 ดอลลาร์ไปสู่ 107,000 ดอลลาร์ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา และในทางกลับกันก็เคยร่วงอย่างหนักจาก 68,000 ดอลลาร์ลงไปเหลือเพียง 16,000 ดอลลาร์ในปี 2022 การยอมรับ BTC เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันหมายความว่านักลงทุนไม่ต้องรีบขายเหรียญ แต่ก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สินทรัพย์ Crypto จะถูกบังคับขาย (Liquidated) หากตลาดเกิดการดิ่งลงอย่างกะทันหัน

ความผันผวนจากปัจจัยทางการเมืองก็มีส่วนสำคัญในการสร้างความผันผวน ดังจะเห็นได้จาก ผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ต่อราคาบิทคอยน์ ที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาด

นักวิจารณ์หลายคนแสดงความกังวลว่า การนำ Crypto เข้ามาผสมกับตลาดอสังหาริมทรัพย์อาจเป็นชนวนให้เกิดวิกฤตการเงินคล้ายกับปี 2008 ซึ่งเกิดจากการผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อความเสี่ยงสูงจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลสหรัฐฯ ยังค้ำประกันสินเชื่อที่ออกโดย Fannie Mae และ Freddie Mac โดยปริยาย ซึ่งหมายความว่าหากมูลค่า Bitcoin พังทลายลง อาจสร้างภาระให้กับผู้เสียภาษีในที่สุด

ข้อกำหนดสุดโหดของสินเชื่อ Crypto ที่นักลงทุนต้องรู้

ในทางปฏิบัติ การใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อซื้อบ้านยังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก เมื่อเทียบกับการใช้เงินเฟียตที่ผู้กู้อาจต้องการเงินดาวน์เพียง 5-10% และผ่อนชำระรายเดือน แต่ผู้ให้บริการสินเชื่อคริปโตส่วนใหญ่มักต้องการหลักประกันเต็มจำนวน 100% (100% collateralization) พูดง่ายๆ คือ หากต้องการซื้อบ้านราคา 300,000 ดอลลาร์ ก็จำเป็นต้องนำเหรียญมูลค่า 300,000 ดอลลาร์มาวางค้ำประกัน

นอกจากนี้ ผู้ให้กู้มักจะยอมรับเฉพาะเหรียญหลักอย่าง Bitcoin (BTC) และ Ethereum (ETH) เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าพอร์ตเหรียญ Altcoin หรือ Meme Coin อย่าง DOGE ของคุณอาจไม่มีค่าในกระบวนการยื่นกู้เลยแม้แต่น้อย

แม้ว่าการขอสินเชื่อจะจำกัดอยู่แค่เหรียญหลัก แต่นักลงทุนก็ยังสามารถมองหาโอกาสในตลาดที่กว้างขึ้นได้ โดยมี เหรียญคริปโตที่มีศักยภาพในระยะยาว อีกหลายตัวที่น่าจับตามองสำหรับการลงทุน

มองอีกมุม: ข้อดีและความท้าทายของนักลงทุน Crypto ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่านักลงทุน Crypto ในปัจจุบันก็เผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อเช่นกัน สถาบันการเงินบางแห่งยังมีทัศนคติที่ล้าสมัยและอาจปฏิเสธใบสมัครทันทีที่เห็นธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Crypto Exchange ในรายการเดินบัญชี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง

ข้อมูลจาก Redfin ยังเผยว่า ประมาณ 12% ของผู้ซื้อบ้านครั้งแรกเลือกที่จะขาย Crypto เพื่อนำเงินมาเป็นค่าดาวน์ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาพลาดโอกาสทำกำไรมหาศาลจากการที่ราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้นในเวลาต่อมา โจซิป รูเปนา ซีอีโอของ Milo บริษัทสินเชื่อคริปโตกล่าวว่า “มีลูกค้าจำนวนมากที่สะสมความมั่งคั่งจาก Bitcoin มานานกว่า 10 ปี และพวกเขาไม่ต้องการที่จะขายมัน” ดังนั้น แม้นโยบายใหม่อาจมีความเสี่ยง แต่มันก็พยายามแก้ไขปัญหาที่นักลงทุนกำลังเผชิญอยู่จริง

การตัดสินใจถือครองสินทรัพย์ในระยะยาวเช่นนี้ ย่อมมาพร้อมกับการวิเคราะห์อนาคต ซึ่ง แนวโน้มราคา Bitcoin ในปี 2025-2030 ก็เป็นอีกหนึ่งข้อมูลสำคัญที่นักลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจ

นอกจากการคาดการณ์ระยะยาวแล้ว ข่าวสารในปัจจุบันก็ส่งผลต่อราคาอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน ดังเช่น ข่าวบิทคอยน์ที่ได้รับแรงหนุนจาก Trump ETF ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการเมืองและตลาดคริปโต

สรุป: นโยบาย Crypto ของ Trump ดาบสองคมที่อาจสั่นคลอนเศรษฐกิจ

นโยบายการใช้ Crypto ค้ำประกันสินเชื่อบ้านที่ได้รับการสนับสนุนจากทีมงานของ Trump ถือเป็นดาบสองคม แม้จะเป็นความพยายามที่จะช่วยให้นักลงทุนคริปโตเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องขายสินทรัพย์ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงมหาศาลจากความผันผวนของตลาด การผูกชะตากรรมของตลาดอสังหาริมทรัพย์เข้ากับสินทรัพย์ดิจิทัลที่คาดเดายาก อาจนำไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตลาดหมีครั้งถัดไป ซึ่งอาจเป็นบททดสอบที่แท้จริงของนโยบายนี้