เหรียญคริปโตที่น่าลงทุน? Solaxy โซลูชัน Layer-2 แก้ปัญหาคอขวด Solana

ดูเหมือนว่า Solaxy จะเป็นอีกหนึ่งเหรียญคริปโตที่น่าลงทุนและน่าจับตามองในปีนี้ เพราะจากรายงานล่าสุดนักลงทุนทั่วโลกแห่เข้าซื้อเหรียญในรอบพรีเซลทะลุ 22 ล้านดอลลาร์อย่างรวดเร็ว
ความสนใจนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในโซลูชัน Layer-2 ตัวแรกสำหรับ Solana ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรมและลดปัญหาความแออัดบนเครือข่าย
Solaxy คือทางออกสำหรับปัญหาคอขวดของ Solana?
ตามรายงานจาก Cryptodnes.bg Solana สามารถประมวลผลธุรกรรมได้เฉลี่ยมากกว่า 4,500 ธุรกรรมต่อวินาที (TPS) ซึ่งทำให้ธุรกรรมรวดเร็วด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ ทำให้กลายเป็นเครือข่ายยอดนิยม
อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนการทำธุรกรรมมหาศาลในแต่ละวินาทีได้นำไปสู่ปัญหาความแออัด ซึ่งทำให้เกิดความล้มเหลวในการทำธุรกรรมบ่อยครั้ง
เมื่อเกิดความแออัดของเครือข่าย แม้แต่ผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการ Yield farm เล่นเกม Web3 หรือเพียงแค่ Swap เหรียญหนึ่งไปยังอีกเหรียญหนึ่งก็อาจเผชิญกับความล้มเหลวในการทำธุรกรรมได้
Solaxy ได้รับการออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาคอขวดเหล่านี้โดยใช้เทคโนโลยี Rollup ของ Layer-2 เพื่อประมวลผลธุรกรรมนอก Main Chain ก่อนที่จะสรุปบน Mainnet ของ Solana วิธีการนี้ช่วยลดความแออัดและรับประกันการดำเนินการที่ราบรื่นแม้ในช่วงที่มีกิจกรรมสูงสุด
นอกเหนือจากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมแล้ว Solaxy ยังขยายการทำงานร่วมกันระหว่าง Solana และ Ethereum โดยเหรียญทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์แบบ Multi-Chain ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอนสินทรัพย์ระหว่างระบบนิเวศ 2 เครือข่ายได้อย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตาม มีคำถามเกิดขึ้นมากมายในวงการว่า Solaxy เป็นเหรียญคริปโตที่น่าลงทุนหรือไม่ เพราะด้วย Layer-2 ยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาและ Layer-1 ยังสามารถอัปเกรดต่อได้
ถึงกระนั้น ด้วยยอดระดมทุนทะลุ $22 ล้านได้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนหลายคนมองเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีและให้ความเชื่อมั่นว่านี่จะเป็นทางออกสำหรับปัญหาที่มีมาเนิ่นนานนี้ได้
Layer-2 คือทางออกที่แท้จริง?
Layer-2 เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาการทำธุรกรรมล้มเหลวเนื่องจากความแออัดภายในเครือข่ายโดยเฉพาะ ช่วยให้การใช้งานบล็อกเชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งเร็วขึ้น ถูกลง และรองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้นโดยไม่ลดทอนความปลอดภัย เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในอนาคต เช่น DeFi, เกมบนบล็อกเชน และ NFT
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า Layer-2 อาจจะยังไม่ใช่ทางออกที่แท้จริงสำหรับปัญหาคอขวด เพราะจากรายงานล่าสุดวิทาลิก บูเทอริน (Vitalik Buterin) ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้วางแผนที่จะปรับปรุงเครือข่ายด้วยการเพิ่ม Capacity ของ Layer-1 ของ Ethereum เพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้นและลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม
โดยวิตาลิกมองว่าการพึ่งพา Layer-2 มากเกินไปอาจนำไปสู่ความซับซ้อนและ Fragmentation ของระบบนิเวศ
ดูเหมือนว่าเขามีมุมมองว่าเทคโนโลยี Layer-2 ยังไม่มีความจำเป็นมากและควรถูกนำมาแทนที่ Layer-1 โดยทันทีในขณะนี้ เพราะปัญหาหลักคือ ‘ความแออัดของเครือข่าย’ ซึ่งการเพิ่ม Capacity จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม Layer-2 กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา ซึ่งนี่หมายความว่าเทคโนโลยีนี้อาจมีบางสิ่งบางอย่างที่อาจดีกว่าหรือถึงขั้นปฏิวัติวงการในอนาคต นักลงทุนหรือผู้ที่สนใจโปรดติดตามต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ ไม่ใช่เนื้อหาที่มาจากบรรณาธิการ เนื้อหาบางส่วนอาจมี Affiliate Links ซึ่งเราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่น เพื่อความโปร่งใส่สามารถอ่าน Affiliate Disclosure เพิ่มเติม






