วิทาลิกเล็งขยายขีดจำกัดแก๊ส Ethereum เพิ่มความยืดหยุ่น L1

วิทาลิก บูเทอริน (Vitalik Buterin) ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้ออกมาเรียกร้องให้เพิ่ม Capacity ซึ่งหมายถึงความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมของเครือข่ายบล็อกเชนของ Layer-1 ของ Ethereum เพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้นและลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม
การเรียกร้องนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก Ethereum ยังคงเผชิญกับปัญหาคอขวดในการประมวลผลธุรกรรม ทำให้ค่าธรรมเนียมสูงขึ้นโดยเฉพาะในช่วงที่มีกิจกรรมบนเครือข่ายสูง
ทำไม Ethereum ต้องเพิ่ม Capacity
ตามรายงานจาก Investing Ethereum เผชิญกับความท้าทายในการขยายขนาด (Scalability) มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสบการณ์ผู้ใช้และค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่สูง
ปัญหาเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำ Ethereum ไปใช้งานในวงกว้าง โดยเฉพาะในด้าน DeFi และ NFTs ซึ่งต้องการการทำธุรกรรมที่รวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ
วิทาลิกมองว่าการเพิ่ม Capacity ใน Layer-1 เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ Ethereum สามารถรองรับปริมาณธุรกรรมที่มากขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพา Layer-2 มากเกินไป
การพึ่งพา Layer-2 มากเกินไปอาจนำไปสู่ความซับซ้อนและ Fragmentation ของระบบนิเวศ Ethereum ได้
Fragmentation ในโลกคริปโตหมายถึงการกระจายตัวหรือการแตกแยกของสภาพคล่อง (Liquidity) และผู้ใช้งานระหว่างหลาย ๆ บล็อกเชนหรือโปรโตคอล ซึ่งทำให้ระบบนิเวศคริปโตขาดความเชื่อมต่อกันอย่างราบรื่น ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกรรมและการใช้งานโดยรวม
Layer-1 vs Layer-2: อะไรคือทางออกที่ดีกว่า?
การแก้ไขปัญหาการขยายขนาดของ Ethereum มี 2 แนวทางหลักคือการปรับปรุง Layer-1 (เช่น การเพิ่ม Block Size หรือการปรับปรุง Consensus Algorithm) และการพัฒนาโซลูชัน Layer-2 (เช่น Rollups และ Sidechains)
วิทาลิกเชื่อว่าทั้ง 2 แนวทางมีความสำคัญ แต่การเพิ่ม Capacity ใน Layer-1 เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้
Layer-1 มีข้อดีคือเป็นเลเยอร์พื้นฐานที่มั่นคงและปลอดภัยสำหรับ Ethereum ทั้งหมด แต่มีข้อจำกัดในด้านการขยายขนาด
ในขณะที่ Layer-2 สามารถเพิ่มการขยายขนาดได้อย่างมาก แต่ก็อาจมีข้อเสียในด้านความซับซ้อนและการกระจายอำนาจ
วิทาลิกมองว่าการหาจุดสมดุลระหว่างทั้ง 2 แนวทางเป็นสิ่งสำคัญ
อนาคตของ Ethereum: การปรับปรุง Layer-1 จะนำไปสู่สิ่งใด?
หาก Ethereum สามารถเพิ่ม Capacity ใน Layer-1 ได้สำเร็จจะส่งผลดีต่อระบบนิเวศของ Ethereum ในหลายด้าน เช่น ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมจะลดลง ระบบ DeFi และ NFTs จะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และ Ethereum จะสามารถแข่งขันกับบล็อกเชนอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การปรับปรุง Layer-1 ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโครงสร้างของ Ethereum
การตัดสินใจในการปรับปรุง Layer-1 จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบต่อความปลอดภัยและการกระจายอำนาจของ Ethereum






