BTC อาจแทนที่ USD ในฐานะสกุลเงินสำรองของโลก? – หนี้สหรัฐฯ เสี่ยง

BTC หรือ Bitcoin อาจขึ้นเป็นสินทรัพย์สำรองของโลกแทนดอลลาร์สหรัฐ BlackRock CEO เตือน จับตาวิกฤตค่าเงินดอลลาร์และโอกาสของคริปโต
Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock กำลังออกมาเตือนถึงภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นของอเมริกา เขาเตือนว่าการขาดดุลงบประมาณที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจกัดกร่อนอำนาจของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ โดยเขากล่าวว่าสถานการณ์นี้อาจเปิดประตูให้สินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin ให้เข้ามามีบทบาทในเวทีโลกได้
BlackRock ชี้ Bitcoin อาจได้ประโยชน์จากหนี้สหรัฐฯ
Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock กำลังออกมาเตือนถึงภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นของอเมริกา เขาเตือนว่าการขาดดุลงบประมาณที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจกัดกร่อนอำนาจของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เขากล่าวว่าสิ่งนี้อาจเปิดประตูให้สินทรัพย์ดิจิทัลเช่น Bitcoin เข้ามามีบทบาทในเวทีโลกได้
ในจดหมายถึงนักลงทุนที่ออกเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Fink ระบุถึงข้อได้เปรียบที่สหรัฐฯ ได้รับจากการที่เงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินสำรองของโลกมาอย่างยาวนาน แต่เขาก็เตือนว่าเอกสิทธิ์นี้อาจไม่ยั่งยืนตลอดไป
ทั้งนี้ Fink ชี้ให้เห็นว่า หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ กำลังเติบโตเร็วกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ถึงสามเท่า และภายในปี 2030 การจ่ายดอกเบี้ยและการใช้จ่ายภาคบังคับของรัฐบาลอาจผลาญรายได้ของรัฐบาลกลางไปจนหมด
“หากสหรัฐฯ ไม่สามารถควบคุมหนี้ได้ และการขาดดุลยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป สถานะของอเมริกาในฐานะผู้นำเศรษฐกิจอาจถูกแทนที่ด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น BTC” Fink เตือน
In his annual letter to investors, BlackRock CEO Larry Fink writes, “If the U.S. doesn't get its debt under control, if the deficits keep ballooning, America risks losing that position [world’s reserve currency] to digital assets like bitcoin” pic.twitter.com/T31L57od2s
— Documenting ₿itcoin 📄 (@DocumentingBTC) March 31, 2025
BlackRock กับการเดิมพัน Crypto ที่มากขึ้น: สัญญาณการเปลี่ยนแปลงของ Wall Street สู่สินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง BTC
Fink ระบุว่าสหรัฐฯ อาจเดินไปในเส้นทางที่ทำให้ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจอ่อนแอลง ขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ Decentralized Finance (DeFi) อย่างรวดเร็ว
เขายกย่องนวัตกรรมเบื้องหลังสินทรัพย์ดิจิทัล โดยกล่าวว่า DeFi เป็น “นวัตกรรมที่น่าทึ่ง” ซึ่งมอบความเร็ว ลดต้นทุน และเพิ่มความโปร่งใสให้กับตลาดการเงิน
อย่างไรก็ตาม เขาก็เตือนว่าเทคโนโลยีนี้อาจกลายเป็นภัยคุกคามได้ หากนักลงทุนทั่วโลกเริ่มมอง Bitcoin ว่าเป็นตัวเลือกการลงทุนระยะยาวที่ปลอดภัยกว่าดอลลาร์ นั่นอาจทำให้เงินดอลลาร์สูญเสียความน่าเชื่อถือ
Fink ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับบทบาทสำคัญของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคตของระบบการเงิน
ภายใต้การนำของเขา BlackRock ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่เพียงแต่เริ่มเปิดรับคริปโต แต่ยังสนับสนุนผลิตภัณฑ์การลงทุนใน Bitcoin อย่างจริงจัง เมื่อปีที่แล้ว BlackRock ได้เปิดตัวกองทุน Spot Bitcoin ETF ซึ่งสะท้อนให้เห็นแล้วว่าองค์กรการเงินชั้นนำของ Wall Street กำลังมองว่าสินทรัพย์ประเภทนี้กลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น
Fink ชี้ Tokenization เปลี่ยนเกมก็จริง แต่เทคโนโลยียืนยันตัวตนต้องตามให้ทัน
นอกเหนือจาก BTC แล้ว Larry Fink ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของ tokenization ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินยุคใหม่
เขาเปรียบเทียบระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างเช่น SWIFT กับบริการไปรษณีย์ ในขณะที่ tokenization เหมือนกับการใช้งานอีเมลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่า รวมถึงเหมาะสมกับยุคดิจิทัลมากขึ้น
Fink อธิบายว่า tokenization นั้นช่วยแปลงสินทรัพย์ในโลกความจริง เช่น หุ้น พันธบัตร และอสังหาริมทรัพย์ ให้กลายเป็นข้อมูลดิจิทัลบนบล็อกเชน ซึ่งโทเคนเหล่านี้สามารถซื้อขายได้ทันที จึงช่วยลดความล่าช้าของการชำระธุรกรรมและปลดล็อกเงินทุนจำนวนมหาศาลที่ถูกพักไว้โดยไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ใด ๆ
ที่สำคัญไปกว่านั้น Fink เชื่อว่า tokenization อาจช่วยสร้างความเสมอภาคในการลงทุนได้มากขึ้น ด้วยการทำให้เกิดความเป็นเจ้าของในลักษณะ “เศษส่วน” ซึ่งจะช่วยให้สินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสามารถเข้าถึงได้สำหรับคนทั่วไป
นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุงกระบวนการลงคะแนนเสียงของผู้ถือหุ้นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงเปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ก่อนหน้านี้จำกัดเฉพาะสำหรับนักลงทุนสถาบันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าความสำเร็จของ tokenization ยังคงขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาสำคัญเรื่องการยืนยันตัวตนในระบบดิจิทัล หากต้องการให้สินทรัพย์ที่ถูกแปลงเป็นโทเคนสามารถใช้งานได้ในวงกว้าง ระบบการเงินจำเป็นต้องพัฒนาวิธีการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานให้ปลอดภัยและไม่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย
เขายกตัวอย่างความสำเร็จของอินเดียที่ใช้ระบบ Digital ID เป็นต้นแบบที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้
ในตอนท้าย Fink สรุปว่า การสร้างระบบการเงินที่มีความครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการนำ tokenization มาใช้เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการมาตรฐานใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และการยืนยันตัวตนในยุคดิจิทัล ก่อนที่ระบบเก่าจะสูญเสียการควบคุมไปอย่างสมบูรณ์
โดยสรุป Larry Fink CEO ของ BlackRock เตือนว่าหนี้สินของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ BTC มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในระดับโลก และเน้นย้ำถึงความสำคัญของ tokenization และความปลอดภัยทางดิจิทัล





