สกุลเงินดิจิทัล คืออะไร ทำงานอย่างไร มีประโยชน์อะไรบ้าง?
การเปิดเผยโฆษณา
เรามุ่งมั่นในการสร้างความโปร่งใสอย่างเต็มที่กับผู้อ่านของเรา บางเนื้อหาในเว็บไซต์อาจมีลิงก์พันธมิตร ซึ่งเราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นจากความร่วมมือเหล่านี้คริปโตเคอร์เรนซี หรือ สกุลเงินดิจิทัล หมายถึงสกุลเงินแห่งโลกยุคใหม่ที่ได้รับความสนใจมากขึ้นทุกวัน
เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “คริปโต” มาบ้าง แต่อาจจะยังไม่ได้เข้าใจคอนเซ็ปต์ของมันอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นบทความนี้จะพาไปรู้จักว่าคริปโตเคอร์เรนซีคืออะไร มีอะไรบ้าง แล้วสำคัญอย่างไรในชีวิตประจำวันของเรา
สกุลเงินดิจิทัล คืออะไร?
คริปโตเคอร์เรนซี หรือที่มักเรียกกันสั้นๆ ว่าคริปโต เป็นสกุลเงินดิจิทัล กล่าวคือ ไม่สามารถจับต้องได้เหมือนกับธนบัตรหรือเหรียญทั่วไป ซึ่งวงการคริปโตมีการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาช่วยทำงาน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใสให้กับเงินดิจิทัลในกระเป๋าดิจิทัลของคุณ ให้ไม่สามารถถูกแฮ็กหรือขโมยได้ง่ายๆ
ดังนั้นการจะอธิบายการทำงานของ crypto เราคงต้องเริ่มจากเทคโนโลยีบล็อกเชนกันก่อน
บล็อกเชนคืออะไร?
บล็อกเชน คือเครือข่ายเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยทำให้สกุลเงินดิจิทัลเป็นเงินที่ไม่สามารถปลอมแปลงได้ ไม่ต้องมีตัวกลางในการทำธุรกรรมอย่างธนาคาร และได้รับการป้องกันจากอัลกอริธึมที่เข้ารหัสที่ซับซ้อน
บล็อกเชนจะทำให้ธุรกรรมแต่ละครั้งถูกบันทึกและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยการเก็บข้อมูลไว้เป็นบล็อกที่มีรายละเอียดชัดเจน และแต่ละบล็อกจะถูกเชื่อมโยงหากันผ่านห่วงโซ่ หรือที่เรียกว่าเชน (chain)
พูดง่ายๆ ก็คือ ทุกคนทั่วโลกจะมีข้อมูลเดียวกันและเชื่อมโยงถึงกัน และยิ่งถูกเปลี่ยนแปลงหรือแฮ็กได้ยากขึ้นเมื่อมีบล็อกใหม่ (ธุรกรรมใหม่) เกิดขึ้น เพราะมันจะเชื่อมโยงกับธุรกรรมในบล็อกก่อนหน้า
ในทางปฏิบัติจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่แฮ็กเกอร์จะเจาะเข้ามาดัดแปลงข้อมูลใดๆ ดังนั้นบล็อกเชนจะช่วยป้องกันปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ รวมถึงก้าวข้ามข้อจำกัดแบบที่อาจจะเกิดขึ้นกับธนาคาร เช่น ปัญหาทางเทคนิคอย่างระบบล่ม หรือโอนเกินจำนวน เป็นต้น เนื่องจากไม่ได้อาศัยการควบคุมจากตัวกลาง
ยกตัวอย่างเครือข่ายบิทคอยน์ ที่ค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนแปลงธุรกรรมก่อนหน้าจะสูงกว่าประโยชน์ที่ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงธุรกรรมหมายความว่าจะต้องขุดบล็อกใหม่ทั้งหมดที่อยู่ถัดจากบล็อกนั้นๆ แถมยังต้องทำให้เร็วกว่าที่เครือข่ายจะขุดบล็อกใหม่ที่ถูกต้องได้
เมื่อได้รับการยืนยันจากบล็อก 6 ครั้ง ธุรกรรมบิทคอยน์จะถือว่าจบสิ้น แต่ในทางปฏิบัติ ธุรกรรมขนาดเล็กถือว่าถาวรแล้วตั้งแต่หลังจากมีการยืนยันแค่ครั้งเดียว เนื่องจากมีต้นทุนสูงในการขุดบล็อกใหม่
เครือข่ายบิทคอยน์ใช้ระบบ “proof of work” เพื่อรักษาความปลอดภัยของบล็อกเชน ซึ่งเราจะพูดถึงในส่วนถัดไป
Proof of Work vs. Proof of Stake
ในการจะให้บันทึกสามารถเชื่อถือได้ (และทำให้สกุลเงินดิจิทัลมีค่า) จำเป็นต้องมีวิธีการยืนยันว่าธุรกรรมถูกต้อง ในระบบการเงินแบบดั้งเดิม ธนาคารและสถาบัน มักจะเป็นผู้ตัดสินคนสุดท้าย แต่ในบล็อกเชนของคริปโตมีแนวทางที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ เครือข่ายจะต้องบรรลุฉันทามติและมีวิธีการรักษาความปลอดภัยของธุรกรรมเพื่อไม่ให้ถูกเปลี่ยนแปลง
วิธีการบรรลุฉันทามติที่พบบ่อยที่สุดคือ proof of work (PoW) และ proof of stake (PoS) มาดูกันว่ามันคืออะไร
Proof of Work (PoW)
สั้นๆ ก็คือกลไกฉันทามติที่ใช้ตรวจสอบความถูกต้องภายในบล็อกเชนนั่นเอง
โดยแนวคิดของ “proof of work” เริ่มมาจากเอกสารของ Adam Back ในปี 2002 ที่เสนอวิธีลดสแปมอีเมลและการปฏิเสธการโจมตีจากบริการ โดยต้องใช้ “งาน” CPU เล็กน้อยในการแก้ปัญหาด้านเข้ารหัส
Satoshi ได้นำแนวคิดนี้มาใช้กับ Bitcoin โดยให้นักขุดบิทคอยน์หาค่าแฮชที่ถูกต้องเพื่อเพิ่มบล็อกใหม่เข้าไปในบล็อกเชน ซึ่งต้นทุนและเวลาที่ต้องใช้ในการเปลี่ยนแปลงธุรกรรมที่มีอยู่จะมีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงไม่คุ้มค่า
แต่ในทางกลับกันก็มีแรงจูงใจทางการเงิน เพราะนักขุดสามารถรับบิทคอยน์ได้โดยใช้ hashing power ในการขุดบล็อกใหม่เพื่อรับรางวัล
Proof of work ยังคงถูกมองว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการป้องกันบล็อกเชน เครือข่ายชื่อดังหลายแห่งต่างใช้ระบบนี้ เช่น สกุลเงินดิจิทัล Bitcoin, Litecoin, Dogecoin, Bitcoin Cash, Ethereum Classic, Monero เป็นต้น
Proof of Stake
PoW ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยทั่วไปว่าใช้พลังงานสูง จึงทำให้มีอีกทางเลือกคือ Proof of Stake ซึ่งกลายมาเป็นตัวเลือกยอดนิยมและประหยัดพลังงาน ถูกใช้งานครั้งแรกโดย Peercoin ซึ่งใช้ทั้ง PoW และ PoS โดย Proof of Stake จะกำหนดให้ผู้ตรวจสอบความถูกต้องวางหลักประกันไว้
หากผู้ตรวจสอบเครือข่ายละเมิดโปรโตคอล (กฎ) ก็อาจจะถูกหักอัตราการ Staking ซึ่งหมายความว่าเหรียญที่นำไป Stake ทั้งหมดหรือบางส่วนอาจจะถูกยึดได้
ผู้ตรวจสอบจะทำหน้าที่เสมือนคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายที่ใช้ซอฟต์แวร์พิเศษ เพื่อตรวจสอบว่าการทำธุรกรรมถูกต้อง รวมถึงตรวจสอบว่าโหนดตรวจสอบอื่นๆ ทำตามโปรโตคอล
เครือข่าย PoS มักจะมีข้อกำหนดในการ Staking ขั้นต่ำสำหรับผู้ตรวจสอบแต่ละราย อย่างไรก็ตาม เครือข่ายเหล่านี้อาจจะเสนอกลไก Delegated Proof of Stake (DPoS) ซึ่งทำให้ผู้ที่มีทุนน้อยสามารถร่วมทีมและ stake จนเป็นผู้ตรวจสอบที่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดได้
ทั้งนี้อาจมีการใช้วิธีฉันทามติอื่นๆ ได้เช่นกัน อาทิ:
- PoH: Proof of History
- PoET: Proof of Elapsed Time
- PoC: Proof of Capacity
บทบาทของ “ฉันทามติ” ในวงการ Cryptocurrency คืออะไร
ฉันทามติ (ข้อตกลงระหว่างโหนด) ในบล็อกเชนคริปโต ทำให้เราสามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องฝากความไว้วางใจไว้กับตัวกลาง หมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องเชื่อธนาคาร สถาบัน หรือบุคคลที่สาม ในการติดตามยอดคงเหลือและตรวจสอบธุรกรรม เพราะทุกอย่างที่จำเป็นจะสามารถตรวจสอบได้ผ่าน Crypto Wallet และ Blockchain Explorer สำหรับสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin, Ethereum หรือเครือข่ายใดก็ตามที่คุณใช้งาน
กลไกฉันทามติช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าโหนดทั้งหมดเห็นด้วยกับสถานะของ ledger บล็อกเชน และธุรกรรมทั้งหมดถูกต้อง
ในฐานะผู้ใช้งาน ฉันทามติก็จะช่วยให้มั่นใจว่าธุรกรรมถูกต้อง และเราสามารถเลือกเครือข่ายคริปโตตามความปลอดภัยของกลไกฉันทามติต่างๆ ได้
บางคนอาจรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อใช้เครือข่าย PoW ในขณะที่บางคนชอบ PoS หรือฉันทามติอื่นๆ มากกว่า แต่ไม่ว่าเราจะชอบเครือข่ายแบบไหน เราก็ไม่จำเป็นต้องคอยระแวงกับสถาบันที่อาจจะไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของเรา เพราะเราสามารถเชื่อถือในตัวกระบวนการและสามารถตรวจสอบผลลัพธ์บนบล็อกเชนสาธารณะได้นั่นเอง
สกุลเงินดิจิทัลทำงานอย่างไร?
เมื่อใช้เหรียญ crypto เป็นสกุลเงิน ตัวเหรียญจะทำงานเหมือนกับสกุลเงินทั่วไปในขั้นพื้นฐาน
เฟียตหมายถึงเงินทั่วไปหรือเงินกระดาษ เช่น USD, GBP, THB ซึ่งเงินเฟียต (Fiat) เป็นเงินได้ด้วยคำสั่งหรือกฤษฎีกา หมายความว่าเป็นเงินได้เพราะรัฐบาลกำหนด
ในทางกลับกัน สกุลเงินดิจิทัล หมายถึงเหรียญที่มีมูลค่าได้จากตลาด ตลาดซื้อขายจะกำหนดมูลค่าของสินทรัพย์คริปโตนั้นๆ
คุณสามารถส่งเหรียญไปยังโบรกเกอร์เพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการ หรือส่งเหรียญไปชำระหนี้ได้ เป็นต้น
ทีนี้เรามาดูธุรกรรม Bitcoin ง่ายๆ ที่เกิดขึ้นจริงในวัน Pizza Day กันบ้าง
ในช่วงต้นของบิทคอยน์ Laszlo Hanyecz ใช้ 10,000 BTC ในการจ่ายค่าพิซซ่าของ Papa John จำนวน 2 ถาด ในตอนนั้น 10,000 Bitcoin ถือเป็นราคาที่ยุติธรรมแล้ว เพราะปัจจุบัน 10,000 Bitcoin มีมูลค่ามากถึงประมาณ 440 ล้านดอลลาร์ หรือน้อยกว่ามูลค่าตลาดหุ้นรวมในปัจจุบันของ Papa John’s (PZZA) เพียง 20% เท่านั้น
Laszlo Hanyecz ขุดเหรียญด้วย CPU (และไฟฟ้า) เพื่อช่วยตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่าย Bitcoin ซึ่งจะได้รับเหรียญเป็นรางวัลการขุดสำหรับบล็อกที่เพิ่มลงในเครือข่ายสำเร็จ
จากนั้น นาย Laszlo ก็ส่งเหรียญจาก Crypto Wallet ไปอีกที่เพื่อชำระค่าธุรกรรมสำหรับพิซซ่า 2 ถาดนั้น บนเครือข่ายดังกล่าว การส่งสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เรียกว่าค่าธรรมเนียมธุรกรรมหรือค่าธรรมเนียมเครือข่าย ซึ่งจะถูกจ่ายให้กับคนขุดเหรียญอย่าง Laszlo Hanyecz นั่นเอง
ธนาคารและบริการชำระเงินยังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการชำระเงินด้วยเช่นกัน
ความแตกต่างในกรณีนี้คือ เครือข่ายคริปโตจะมีวิธีส่งต่อมูลค่าจาก A ไปยัง B โดยไม่ต้องมีคนกลาง (ไม่ต้องมีธนาคารหรือบริการชำระเงินที่จะบอกว่าคุณสามารถทำธุรกรรมได้หรือไม่) โดยทั่วไป เครือข่ายคริปโตทำงานเพื่อป้องกันการจ่ายเงินซ้ำซ้อน แทนที่จะคำนึงถึงวัตถุประสงค์ ภูมิปัญญา คุณธรรม หรือความถูกต้องของการทำธุรกรรม
Crypto คือเหรียญที่ทำหน้าที่เป็นสกุลเงินที่ใช้แลกเปลี่ยน เช่นเดียวกับเงินอื่นๆ ตราบใดที่คนเชื่อว่าสังคมจะยอมรับเหรียญในฐานะสกุลเงินที่ใช้แลกเปลี่ยนในอนาคต
เหรียญคริปโตถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร?
ตัวอย่างสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin และอีกหลายเหรียญมีอุปทานเพิ่มขึ้นจากการขุด ซึ่งเป็นกระบวนการที่เครือข่ายมอบเหรียญใหม่เป็นรางวัลสำหรับการตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่าย กระบวนการขุดต้องอาศัย “การทำงาน” เนื่องจากนักขุดเหรียญต้องแก้โจทย์คริปโต ที่เราเรียกกันว่าโปรโตคอล Proof of Work
โปรโตคอลอื่นๆ ใช้ Proof of Stake, Proof of History หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งฉันทามติ ว่าข้อตกลงว่าธุรกรรมนั้นถูกต้อง โดยเครือข่าย Proof of Stake ยังให้รางวัล ด้วยการเพิ่มสกุลเงินดิจิทัลเข้ามามากขึ้นผ่านกระบวนการฉันทามติ
- การขุดเหรียญใช้กลไก Proof of Work เพื่อสร้างเหรียญใหม่สำหรับเครือข่ายเป็นรางวัลการขุด
- การสร้างเหรียญหมายถึงการใช้อัลกอริธึมเพื่อสร้างเหรียญหรือโทเค็นใหม่เป็นรางวัล Staking หรือเป็นโทเค็นที่ใช้บน Blockchain เช่น PEPE เป็นโทเค็นที่สร้างเสร็จบนเครือข่าย Ethereum ซึ่งไม่ได้เป็นผลมาจากการขุด แต่จำนวน ETH ใหม่ๆ จะมาจากการ Staking นั่นเอง
สกุลเงินดิจิทัล Bitcoin หรือ Litecoin ซึ่งไม่มีการขุดก่อนเปิดตัวเรียกว่าเป็น “การเปิดตัวที่ยุติธรรม” เพราะทุกคนมีโอกาสเท่ากันก่อนที่เหรียญจะเป็นที่นิยม
คริปโตเคอร์เรนซีแตกต่างจากเงินเฟียตอย่างไร?
คำว่าเฟียตหรือ Fiat มาจากภาษาละตินและแปลว่า “ปล่อยให้มันทำ” หมายความว่ารัฐบาลประกาศให้สกุลเงินนั้นๆ ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
เช่น Fiat Money ของสหรัฐฯ ทำหน้าที่เป็น “ธนบัตรเป็นเงินที่ชำระเงินหนี้ทั้งหมดได้ตามกฎหมาย ทั้งภาครัฐและเอกชน”
ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นส่วนใหญ่ สกุลเงินเฟียตใช้ชำระหนี้ได้มากกว่าเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ อย่าง ทองคำ
ในทางกลับกัน Cryptocurrency คือเหรียญที่ไม่สามารถใช้ชำระหนี้ แถมยังไม่ได้ถูกประกาศว่าเป็นเงินอีกด้วย (แม้ว่าบางประเทศได้ยอมรับสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin ว่าเป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายแล้ว)
ผู้คนจึงสามารถเลือกใช้คริปโตเป็นเงิน ตัวเก็บมูลค่า การลงทุน หรือการเทรดเก็งกำไรก็ได้
ความปลอดภัยของคริปโต vs. การเงินแบบดั้งเดิม
Cryptocurrency คือสกุลเงินที่มีความปลอดภัยกว่าสินทรัพย์แบบเดิมอย่างมาก เนื่องจากมีความโปร่งใส เพราะโค้ดสำหรับสัญญาอัจฉริยะมีการจะเปิดให้ตรวจสอบได้แบบสาธารณะ ทำให้คอมมิวนิตี้มีวิธีในการระบุปัญหาหรือข้อกังวลต่างๆ การตรวจสอบโค้ดยังเน้นย้ำให้เห็นถึงฟีเจอร์และความเสี่ยงของสัญญาอัจฉริยะอีกด้วย
หลายๆ เหรียญยังจำกัดอุปทานอีกด้วย อย่าง Bitcoin ถูกจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ ส่วน Ethereum (Ether) นั้นไม่ได้ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด แต่โปรโตคอลเผาค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทิ้ง ส่งผลให้ ETH มีอุปทานลดลง เมื่อพิจารณาจากสภาวะตลาดในปัจจุบัน
ในทางตรงกันข้าม สกุลเงินดั้งเดิม เช่น USD มักจะมีอุปทานมากขึ้น ตัวอย่างเช่น M2 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดปริมาณเงินของสหรัฐฯ มีอุปทานเพิ่มขึ้น 155% ในช่วง 10 ปีหลังเปิดตัว Bitcoin และในช่วงเดียวกัน มูลค่าของ BTC ก็เพิ่มขึ้นจากไม่ถึงดอลลาร์เป็นมากกว่า 3,800 ดอลลาร์เลยทีเดียว
นอกจากนี้ หลายประเทศยังกำลังประสบกับภาวะเงินเฟ้อรุนแรงจากเงินเฟียต Venezuela ประสบภาวะเงินเฟ้อกว่า 400% ในปี 2023 เมื่อมูลค่าโบลิวาร์ของเวเนซุเอลาทรุดตัวลง
การรวมศูนย์อำนาจ vs. การกระจายอำนาจ
เงินเฟียตมีลักษณะการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ โดยมีรัฐบาลและธนาคารกลางคอยควบคุมอุปทานและมูลค่าของเงินนั้น
ในขณะที่สกุลเงินดิจิทัล Bitcoin และอื่นๆ มีการควบคุมแบบกระจายศูนย์ หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับกฎหรือการออกเหรียญใหม่จะถูกตัดสินโดยชุมชนทั่วโลก ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลง BTC จะต้องได้รับการอนุมัติจากนักขุด 95% ผ่านการลงคะแนนเสียงใน Bitcoin Improvement Proposal (BIP)
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกสกุลเงินดิจิทัลที่มีลักษณะกระจายศูนย์ เพราะสกุลเงินอย่าง Ripple ถูกควบคุมโดยบริษัทเดียวคือ Ripple Labs ซึ่งเป็นผู้กำหนดทั้งอุปทานและวิธีการตรวจสอบ
เหรียญบางสกุลใช้ฉันทามติแบบกระจายอำนาจในการตรวจสอบธุรกรรม แต่บางส่วนก็ยังถูกควบคุมโดยกลุ่มที่มีศูนย์กลาง นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงจากการควบคุมแบบศูนย์กลางไปสู่การควบคุมแบบกระจายศูนย์ ตัวอย่างเช่น
สกุลเงินดิจิทัลใช้ทำอะไรได้บ้าง มีประโยชน์อย่างไร?
ในหลายกรณี คริปโตคือเหรียญที่ทำหน้าที่เป็น Utility Token บนเครือข่าย ยกตัวอย่าง ETH และ SOL ที่ถูกใช้เป็น “ค่าแก๊ส” เพื่อขับเคลื่อนธุรกรรม รวมถึงสัญญาอัจฉริยะ ความต้องการนี้เป็นการสร้างมูลค่าให้กับเหรียญ
ส่วนเหรียญสกุลอื่น เช่น Bitcoin ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แทนเงิน
ดังนั้นเรามาดูกันว่า Cryptocurrency ใช้ทำอะไรได้บ้าง:
- ใช้เหรียญ crypto แทนเงิน: ร้านค้ามากมายตั้งแต่ Newegg ไปจนถึง Burger King รองรับสกุลเงินดิจิทัลแล้ว นอกจากนี้ บัตรเดบิตคริปโตเช่น บัตร Coinbase หรือบัตร BitPay ยังเปิดโอกาสให้คุณใช้เหรียญคริปโตได้เหมือนเงินสดอีกด้วย
- ใช้ลงทุนในพอร์ต: บางเหรียญสามารถลงทุนเพื่อทำกำไรได้ ตัวอย่างเช่น Chainlink ซึ่งเป็นบริษัทที่วางแผนจะเชื่อมต่อบล็อกเชนส่วนตัวและสาธารณะเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจจะทำให้สินทรัพย์ในโลกจริงพร้อมใช้งานได้ทุกที่ในรูปแบบโทเค็น ส่วนเหรียญของบริษัทอย่าง LINK ก็ถูกมองว่าเป็นการลงทุนมากกว่าสกุลเงินอีกด้วย
- รับผลตอบแทน DeFi: โปรโตคอล DeFi เช่น Aave และ Radiant นำเสนอวิธีการสร้างรายได้โดยการกู้ยืมเหรียญโดยไม่ต้องมีคนกลาง กระบวนการทั้งหมดขับเคลื่อนโดยสัญญาอัจฉริยะ
- เป็นรางวัล Staking: ด้วย Stake เหรียญของคุณ เช่น ETH หรือ SOL คุณจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารส่วนใหญ่อย่างมาก
- ธุรกรรมข้ามพรมแดน: หลายๆ ครั้ง การส่ง cryptocurrency คือวิธีส่งเงินที่ถูกที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับบริการชำระเงินอย่าง MoneyGram หรือ Western Union ที่มีค่าธรรมเนียมสูงกว่า
- ตัวเก็บมูลค่า: crypto คือตัวเก็บมูลค่าที่มีประสิทธิภาพ หากคุณเลือกลงทุนอย่างรอบคอบ คล้ายๆ กับทองหรือเงิน แต่มาในเวอร์ชั่นที่ถูกขนส่งได้ง่ายกว่า
- ธุรกรรมแบบส่วนตัว: เครือข่ายคริปโตเปิดให้คุณสามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตนของคุณหรืออธิบายความต้องการซื้อกับสถาบันการเงินแต่อย่างใด
วิธีใช้ Cryptocurrency เพื่อซื้อสินค้าอย่างปลอดภัย
สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่รองรับการด้วยซื้อคริปโต จะใช้กระบวนการทำธุรกรรมแบบ build-in
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อซื้อคอมพิวเตอร์ด้วย Newegg คุณจะสามารถชำระเงินด้วย Bitcoin ได้ ดังนี้
- เพิ่มสินค้าลงในรถเข็นของคุณ
- เลือกวิธีการจัดส่ง
- เลือก “Bitcoin” ใต้ใบเรียกเก็บเงิน
- เปิดแอป Bitcoin Wallet ของคุณ
- สแกนรหัส QR หรือคัดลอกและวางที่อยู่การชำระเงินที่ได้รับ
- ทำธุรกรรมให้เสร็จสิ้นใน Bitcoin Wallet ของคุณ
- ตรวจสอบอีเมลเพื่อยืนยัน
เวลาที่ใช้ในการชำระเงินจะแตกต่างกันไปตามเครือข่าย หรือคุณสามารถใช้บัตรคริปโต เช่น Coinbase Visa ก็ได้ ซึ่งเป็นบัตรของ Coinbase ที่ให้คุณสามารถจัดสรรเหรียญให้กับบัตรและใช้จ่ายเป็นเงินได้ แถม Coinbase ยังจ่ายรางวัลเป็นสกุลเงินดิจิทัล (มากถึง 3%) เมื่อทำการซื้อผ่านบัตรอีกด้วย (รางวัลจะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละเดือน)
วิธีรับสกุลเงินดิจิทัลคืออะไรบ้าง?
วิธีหลักในการรับ Cryptocurrency มีอยู่ 3 วิธีด้วยกัน ดังนี้
การขุดเหรียญ (Mining)
Bitcoin เหรียญแรกถูกขุดด้วย CPU คอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกับ Litecoins, Dogecoins และโปรเจกต์ใหม่ๆ เช่น Kaspa และ Zephyr เริ่มแรกอีเธอเรียมก็ถูกขุดเช่นกัน โดยเชน Ethereum ดั้งเดิมมีชื่อ Ethereum Classic ซึ่งยังคงขุดได้อยู่ด้วยกลไก PoW
ทั้งนี้ เฉพาะเหรียญที่ใช้ระบบการพิสูจน์การทำงาน (proof-of-work) เท่านั้นที่สามารถขุดได้ อัลกอริธึมการขุดจะปรับตามความยากเมื่อพลังแฮชเพิ่มขึ้นพร้อมกับจำนวนหรือประสิทธิภาพของนักขุดที่มากขึ้น และเมื่อการขุดยากขึ้น ก็จะต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน
ปัจจุบัน Bitcoin ไม่สามารถขุดผ่าน CPU หรือแม้แต่การ์ดจอระดับสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เพราะอุตสาหกรรมการขุด Bitcoin ถูกควบคุมโดยฮาร์ดแวร์พิเศษที่เรียกว่าเครื่องขุด ASIC แทน
เหรียญขนาดเล็ก เช่น Kaspa, Monero, Zephyr และอื่นๆ ยังคงสามารถขุดได้ด้วย CPU หรือการ์ดจอ อย่างไรก็ตาม การซื้อเหรียญเหล่านี้จากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนตอนที่ราคาลง มักจะสะดวกและคุ้มกว่าการขุด
การรับเหรียญ
คุณสามารถสะสมเหรียญได้หลายวิธีผ่านการรับเหรียญ และในหลายกรณี คุณอาจจะต้องมีเหรียญคริปโตบางเหรียญอยู่ก่อนแล้ว จึงจะนำไปใช้รับเหรียญเพิ่มได้
- Staking: เครือข่าย Proof of Stake เช่น Ethereum และ Solana เปิดโอกาสให้คุณสามารถ “Stake” เหรียญเพื่อรับรางวัลจากการ Staking และหลายๆ ครั้ง รางวัลจาก Staking ก็สามารถให้ผลตอบแทนต่อปีมากกว่า 3%
- Yield protocols: สัญญาอัจฉริยะปูทางให้กับการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) โดย dApp ยอดนิยม เช่น Aave เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานได้รับผลตอบแทนจากการให้กู้ยืมเหรียญ ในขณะที่ GMX อีกหนึ่งแอป DeFi ชื่อดัง ก็เปิดโอกาสให้คุณได้ทำกำไร (หรือขาดทุน) บน Decentralized Exchange ซึ่งจะใช้จ่ายเป็นเหรียญคริปโต
- Play to Earn: เกมคริปโต เช่น Axie Infinity และ The Sandbox นำเสนอวิธีในการรับเหรียญภายในเกม หรือ Playdoge ที่ให้คุณได้เลี้ยงสัตว์และผ่านด่านผจญภัยต่างๆ เพื่อรับรางวัลเป็นโทเค็น $PLAY เป็นต้น
- บัตรรางวัลคริปโต: บัตรรางวัลคริปโตจำนวนหนึ่ง เช่น บัตรจาก Coinbase หรือ Gemini เปิดโอกาสให้คุณได้รับ “เงินคืน” เป็นสกุลเงินดิจิทัลเมื่อทำการช็อป
- ทำงานเพื่อรับคริปโต: แพลตฟอร์มฟรีแลนซ์อาจมีตัวเลือกให้คุณได้รับค่าตอบแทนเป็นสกุลเงินดิจิทัลสำหรับงานที่ทำ นอกจากนี้ แอปพลิเคชันชำระเงินอย่าง Cash App, Strike และ Venmo ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งสกุลเงินดิจิทัลให้กันได้ง่ายๆ ด้วย
การซื้อเหรียญ
บ่อยครั้งที่การซื้อเหรียญด้วยเงินเฟียตเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเข้าสู่ตลาด
ซื้อคริปโตได้จากไหน?
วิธีในการซื้อสกุลเงินดิจิทัลด้วยทั่วไปคือการใช้กระดานเทรดคริปโต เช่น Coinbase ซึ่งคุณสามารถซื้อเหรียญด้วย USD, GBP หรือสกุลเงินอื่นๆ ที่รองรับ
กระดานแลกเปลี่ยนครั้งแรกเปิดตัวในปี 2010 ตอนที่ตลาด Bitcoin เปิดตัว ในขณะที่แพลตฟอร์มอื่นๆ ในปัจจุบันก็มีอายุไล่เลี่ยกัน โดย Coinbase เปิดตัวในปี 2012 ส่วน Kraken และ Bitstamp เปิดตัวในปี 2011
- Centralized Exchange: CEX ให้บริการโดยบริษัท และส่วนใหญ่ต้องทำการยืนยันตัวตน เช่น Coinbase และ Kraken ซึ่งรองรับการซื้อขายด้วยเงินเฟียตสำหรับคริปโตและจะจัดเก็บเหรียญเอาไว้ใน Custodial Wallet จนกว่าคุณจะถอนเหรียญออกไป
- Decentralized Exchange: DEX ดำเนินการโดยซอฟต์แวร์ โดยนักพัฒนา smart contract จะเปิดตัวแอปบน Blockchain ที่ให้คุณเทรดคริปโต หรือเติมเงินลงในบัญชีด้วยเงินเฟียตผ่านช่องทางชำระเงินอื่น โดยกระดานเทรด DEX ยอดนิยม ได้แก่ Uniswap และ Pancakeswap
- โบรกเกอร์: โบรกเกอร์คล้ายกับ Centralized Exchange ตรงที่จะให้คุณซื้อคริปโตด้วยสกุลเงินเดิม แต่จะแตกต่างตรงที่คุณกำลังซื้อหรือขายให้กับโบรกเกอร์ (ตัวกลาง) แทนที่จะซื้อขายโดยตรงกับเทรดเดอร์รายอื่น เช่น eToro และ Robinhood ก็ถือเป็นโบรกเกอร์ชั้นนำ
- แอปชำระเงิน: Cash App, PayPal, Venmo, และแอปชำระเงินอื่นๆ รองรับการเทรดเหรียญคริปโตยอดนิยมแล้ว แต่บางแอปก็ยังรองรับเฉพาะ Bitcoin
- Crypto Wallet: กระเป๋าดิจิทัลหรือกระเป๋าคริปโต เช่น MetaMask เปิดให้คุณซื้อสกุลเงินดิจิทัลผ่านผู้ให้บริการชำระเงินอื่น เช่น MoonPay หรือ Mercuryo
- เครือข่าย Peer-to-peer: แพลตฟอร์มเช่น Bisq และ HODL เปิดให้เทรดสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin หรือ Crypto แบบเพียร์ทูเพียร์ เป็นการเทรดกับผู้ใช้รายอื่นทั่วโลก โดยราคาอาจจะแตกต่างจากราคาตลาดใน Centralized Exchange
- ตู้ ATM Bitcoin: ในหลายๆ ประเทศ คุณสามารถซื้อ Bitcoin จากตู้ ATM ในปั๊มน้ำมันหรือร้านสะดวกซื้อได้แล้ว
เก็บสกุลเงินดิจิทัลได้ที่ไหน?
นักลงทุนมือใหม่มักจะเก็บสกุลเงินไว้ในกระดานแลกเปลี่ยนที่ทำการซื้อ ซึ่งแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสมัยใหม่ใช้การเก็บข้อมูลแบบเย็น (cold storage) หมายความว่าสินทรัพย์จะถูกเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ถือเป็นวิธีที่สะดวก แต่ก็หมายความว่ากระดานแลกเปลี่ยนจะเป็นผู้เก็บรหัสส่วนตัวที่ใช้ควบคุมทรัพย์สินของคุณไว้
ช่วงปี 2011-2014 มีรายงานว่ามีแฮกเกอร์ดูดฝากเงินนับพันเหรียญจากกระดาน Mt. Gox นอกจากนี้ ซีอีโอของกระดานแลกเปลี่ยน FTX ก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกง โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินฝากของลูกค้าในการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
ตัวกระดานแลกเปลี่ยนเองอาจเป็นความเสี่ยง แต่ก็มีความเสี่ยงที่บุคคลอื่นสามารถเข้าถึงบัญชีของคุณได้เช่นกัน ซึ่งมักพบได้ในธนาคารออนไลน์
อีกทางเลือกในการรักษาเหรียญของคุณ คุณก็สามารถใช้ Crypto Wallet (กระเป๋าคริปโต/กระเป๋าเงินดิจิทัล) ที่คุณเป็นผู้ควบคุมเอง ซึ่งจะทำให้คุณมีอำนาจในการจัดการสินทรัพย์ของคุณมากขึ้น
- Hot Wallet เช่น MetaMask (สำหรับ Ethereum) หรือ Electrum (สำหรับ Bitcoin) ล้วนสร้างและเก็บรหัสส่วนตัวบนอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ โดยเป็นแอปที่ทำงานบนคอมพิวเตอร์หรือมือถือ
- Cold Wallet โดยทั่วไปจะเป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ที่จัดเก็บรหัสส่วนตัวโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต อุปกรณ์เหล่านี้จะเชื่อมกับคอมพิวเตอร์หรือมือถือของคุณ เพื่อให้คุณทำการอนุญาตหรือปฏิเสธธุรกรรม cold wallet ยอดนิยม เช่น Trezor และ Ledger
กระดานเทรดคริปโตที่ดีที่สุด
เมื่อคุณศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและพร้อมซื้อคริปโตแล้ว Centralized Exchange ก็ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ซึ่งกระดานเทรดชั้นนำต่างก็มีตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย รวมถึงการโอนเงินผ่านธนาคาร บัตรเดบิต หรือแม้แต่ PayPal เราแนะนำให้เทรดเดอร์โดยเฉพาะมือใหม่พิจารณาแพลตฟอร์มเหล่านี้:
1. eToro
eToro เปิดตัวในปี 2007 และเป็นผู้นำตลาดด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น Copy Trading ที่เปิดโอกาสให้คุณสามารถดูสถิติการซื้อขายและติดตามเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเทรดเดอร์รายนั้นทำการซื้อขาย ยอดการซื้อขายที่คุณจัดสรรไว้กับฟีเจอร์ Copy Trading ก็จะทำการเทรดเช่นเดียวกัน เปิดโอกาสให้ทุกคนซื้อขายได้เหมือนเทรดเดอร์มากประสบการณ์
eToro ยังมีบัญชีทดลองเพื่อให้คุณสามารถฝึกเทรดโดยไม่ต้องเสี่ยงใช้เงินจริงในทันที
แพลตฟอร์ม eToro รองรับสกุลเงินดิจิทัลมากกว่า 80 สกุล พร้อมกับหุ้นและกองทุน ETF โดยสินทรัพย์ที่ซื้อขายได้จะแตกต่างกันไปตามประเทศของผู้ใช้
ภาพรวมของ eToro
จำนวนคริปโตที่รองรับ | 80+ รวมถึง BTC, ETH, SOL, DOGE, ARB, HBAR |
วิธีการชำระเงิน |
|
ค่าธรรมเนียมการเทรด | 1% + ค่าสเปรด |
ค่าใช้จ่ายในการซื้อ Bitcoin มูลค่า 100 ดอลลาร์ | 1.00 ดอลลาร์ |
ข้อดี:
- เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับมือใหม่
- ค่าธรรมเนียมการเทรดที่คาดการณ์ได้
- ฟีเจอร์ Copy Trading
- บัญชีทดลอง
ข้อด้อย:
- ค่าธรรมเนียมการถอนเงิน
- ค่าธรรมเนียมเมื่อไม่ใช้งาน
- มีเหรียญให้เลือกไม่มากนัก
2. Coinbase
Coinbase เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตแบบสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือที่สุดเมื่อพูดถึงการเทรดเหรียญ
ทางแพลตฟอร์มนำเสนอฟีเจอร์ Simple Trades ซึ่งเป็นวิธีการซื้อขายที่ง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่ นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มการเทรดขั้นสูงที่มีค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่ถูกกว่า
บัตรคริปโตของ Visa จะช่วยให้คุณใช้คริปโตได้เหมือนกับเงินสด ในขณะเดียวกันก็ให้รางวัลเป็นคริปโตอีกด้วย
Coinbase รองรับเหรียญมากกว่า 250 สกุล พร้อมตัวเลือกในการสมัครสมาชิกแบบรายเดือน เพื่อให้คุณเทรดได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม
ภาพรวมของ Coinbase
จำนวนคริปโตที่รองรับ | 250+ รวมถึง BTC, ETH, SOL, ADA, LINK, AVAX, TIA |
วิธีการชำระเงิน |
|
ค่าธรรมเนียมการเทรด |
|
ค่าใช้จ่ายในการซื้อ Bitcoin มูลค่า 100 ดอลลาร์ | 0.60 ดอลลาร์ตามคำสั่งจำกัดของ Coinbase Advance |
ข้อดี:
- เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับมือใหม่
- รองรับคริปโตมากมาย
- เชื่อมต่อโดยตรงกับ Coinbase Wallet
- บัตรรางวัลคริปโต
ข้อด้อย:
- ค่าธรรมเนียมแพงขึ้นสำหรับการเทรดแบบธรรมดา
- อินเทอร์เฟซใช้งานยาก
3. Kraken
กระดานแลกเปลี่ยน Kraken ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 เป็นหนึ่งในกระดานเทรดคริปโตที่เก่าแก่ที่สุดและได้สร้างชื่อเสียงมายาวนานในวงการคริปโต
ตัวแพลตฟอร์มมีทั้งแบบที่ใช้งานง่าย และแบบขั้นสูงที่เรียกว่า Kraken Pro
สำหรับฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับการเทรดสกุลเงินดิจิทัล ก็มีบริการ Staking (ไม่มีให้บริการในอเมริกา) และการเทรดมาร์จิ้นสำหรับบัญชีที่ผ่านการรับรอง นอกจากนี้ทางแพลตฟอร์มยังมีระบบเทรดฟิวเจอร์ในตลาดที่รองรับอีกด้วย
ภาพรวมของ Kraken
จำนวนคริปโตที่รองรับ | 240+ รวมถึง BTC, SOL, ETH, AVAX, ADA, DOGE, TIA |
วิธีการชำระเงิน |
|
ค่าธรรมเนียมการเทรด |
|
ค่าใช้จ่ายในการซื้อ Bitcoin มูลค่า 100 ดอลลาร์ | 0.16 ดอลลาร์ตามคำสั่งจำกัดของ Kraken Pro |
ข้อดี:
- แพลตฟอร์มใช้งานง่าย
- กลไกพิสูจน์เงินทุนสำรอง
- การเทรดมาร์จิ้นและฟิวเจอร์สำหรับบัญชีที่ผ่านการรับรอง
ข้อด้อย:
- ค่าธรรมเนียมสูงสำหรับบัตรเดบิต
- มีฟีเจอร์ลดลงเมื่อใช้ในอเมริกา
วิธีลงทุนในเหรียญคริปโต
ก่อนหน้านี้เราได้พูดถึงว่าสกุลเงินดิจิทัลคืออะไร และวิธีซื้อทำอย่างไรไปแล้ว เรามาดูวิธีซื้อที่ใช้กันบ่อยที่สุดกันบ้าง
นั่นก็คือการใช้ “กระดานแลกเปลี่ยน” เช่น Coinbase หรือ “โบรกเกอร์” อย่าง eToro
หากต้องการลงทุนในคริปโตบนแพลตฟอร์มอย่าง eToro คุณก็สามารถทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
- ไปยัง eToro ทำตามคำขั้นตอนเปิดบัญชีคริปโต โดยการใส่ชื่อ ที่อยู่ อีเมล และหมายเลขโทรศัพท์
- ยืนยันตัวตน เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับของ eToro คุณจะต้องใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- ฝากเงินเพื่อเทรด เชื่อมต่อบัญชีธนาคาร บัตรเดบิต หรือบัญชี PayPal โดยขั้นต่ำในการเทรดบน eToro อยู่ที่ 10 ดอลลาร์
- เลือกสกุลเงินดิจิทัล แม้เทรดเดอร์มือใหม่หลายคนจะชอบเริ่มเทรดด้วย BTC แต่จริงๆ แล้ว eToro รองรับเหรียญคริปโตมากกว่า 80 สกุล
- ซื้อเหรียญคริปโต ค้นหาเหรียญที่คุณเลือก จากนั้นกดที่ปุ่มเทรดและใส่รายละเอียดเพื่อเริ่มต้นเทรด
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเงินดิจิทัล
การเทรดคริปโตถูกกฎหมายในประเทศส่วนใหญ่ ทั้งนี้แต่ละประเทศก็มีข้อบังคับที่แตกต่างกันออกไป ในขณะที่บางประเทศก็ยังมีความสับสนว่าเหรียญคริปโตใดจะต้องจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์ และเหรียญใดถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์มากกว่า
ในอเมริกา ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ได้ฟ้องร้องกระดานแลกเปลี่ยนหลายแห่งรวมถึง Coinbase และ Kraken ที่เปิดขาย “หลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน”
สำหรับสกุลเงินดิจิทัลในประเทศไทยเอง ยังไม่ถือเป็นเงินตราตามกฎหมาย แต่บางสกุลก็ถือเป็นหลักทรัพย์หากอยู่ภายใต้ข้อบังคับ เช่น การเสนอขายโทเค็น หรือ ICO ที่มีลักษณะเหมือนการลงทุนในหลักทรัพย์ก็จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต.
ในทางกลับกัน สกุลเงินดิจิทัลที่ใช้สำหรับการเทรดทั่วไป เช่น Bitcoin และ Ethereum ไม่ได้ถือเป็นหลักทรัพย์ แต่ถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล
ดังนั้นสรุปได้ว่าการจำแนกประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะของโทเค็นและจุดประสงค์ในการใช้งาน
หลักทรัพย์คืออะไร?
ในอเมริกา หลักทรัพย์คือสัญญาการลงทุนที่ผู้ซื้อจะคาดหวังผลตอบแทน ในอดีตสินทรัพย์นั้นถูกกำหนดโดย “Howey Test” ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 อย่างด้วยกัน:
- เป็นการลงทุนด้วยเงิน
- เป็นการลงทุนกับองค์กรธุรกิจทั่วไป
- เป็นการลงทุนที่นักลงทุนมีการคาดหวังถึงผลกำไร
- ผลกำไรมาจากการทำงานของคนอื่น
การขาดความชัดเจนด้านข้อบังคับในสหรัฐอเมริกาและบางประเทศ อาจจะเกิดความท้าทายในการเทรดได้ โดยเฉพาะเมื่อกระดานแลกเปลี่ยนหยุดสนับสนุนสินทรัพย์คริปโตที่ตกเป็นเป้าหมายของหน่วยงานรัฐบาลในคดีล่าสุด
ก.ล.ต. กำหนดให้คริปโตหลายสกุลเป็นหลักทรัพย์ เช่น
- SOL
- ADA
- MATIC
- SAND
- ICP
- DASH
- NEXO
อย่างไรก็ตาม ผู้คนในคอมมิวนิตี้คริปโตหลายคนก็ไม่เห็นด้วย
สกุลเงินดิจิทัล คือสินทรัพย์ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
คริปโตเคอเรนซี่สามารถทำหน้าที่เหมือนกับเงินในการซื้อขายส่วนตัวได้ แต่รัฐบาลส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มองว่าสกุลเงินดิจิทัลคือสินทรัพย์ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายปัจจุบัน
ตอนนี้ยังมีไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่ได้ยอมรับให้ Cryptocurrency คือสินทรัพย์ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
เอลซัลวาดอร์เป็นประเทศแรกที่ยอมรับสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin ถัดมาคือสาธารณรัฐแอฟริกากลาง
นากจากนี้ยังมีประเทศอื่นๆ อย่างโปรตุเกส ที่แม้คริปโตจะไม่ได้ถูกกำหนดว่าเป็นเงินตราอย่างเป็นทางการ แต่ก็ได้รับการยอมรับในการทำธุรกรรมและมีการจัดเก็บภาษีที่เอื้อต่อการลงทุนในคริปโต
ในเยอรมนี คริปโตสามารถใช้ในการทำธุรกรรมได้ แม้ว่าจะไม่ใช่เงินตราอย่างเป็นทางการ
สำหรับสวิตเซอร์แลนด์ เทศบาลบางแห่งรองรับบิทคอยน์สำหรับการชำระภาษี และมีท่าทีที่เอื้อต่อกฎระเบียบเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล
ในขณะที่ญี่ปุ่นรับรอง BTC และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ว่าเป็นทรัพย์สินที่ถูกกฎหมาย และอนุญาตให้ใช้ในการทำธุรกรรมได้
ภาษีคริปโต
เขตอำนาจศาลหลายแห่งเช่นสหรัฐอเมริกาและอังกฤษมองว่าสกุลเงินดิจิทัลคือสินทรัพย์ หมายความว่ากำไรจากคริปโตจะต้องนำมาเสียภาษี
โดยปกติแล้ว รายได้ที่จ่ายเป็นคริปโตก็จะต้องเสียภาษีเช่นกัน เหมือนกับรายปกติ
ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา ที่ต้องเสียภาษีทั้งหมด ได้แก่:
- กำไรจากส่วนต่างราคา
- รายได้จากการ Staking
- รายได้จากการขุด
- การแจกเหรียญ Airdrop
- การชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัล
- ดอกเบี้ยและผลตอบแทนจากโปรโตคอลคริปโต
- ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมสกุลเงินดิจิทัล
อเมริกาเก็บภาษีเป็นเงินดอลลาร์ ดังนั้นธุรกรรมทั้งหมดจะต้องแปลงเป็นมูลค่าดอลลาร์ ณ เวลาที่ทำธุรกรรมเพื่อคำนวณเป็นภาษีที่ต้องชำระ
สำหรับสกุลเงินดิจิทัลในประเทศไทย รายได้จากการเทรดคริปโตก็ต้องเสียภาษีเช่นกัน
โดยสำนักงานสรรพากรได้กำหนดให้กำไรจากการขายสกุลเงินดิจิทัลถือเป็นรายได้ และผู้ที่มีรายได้จากการขายคริปโตจะต้องยื่นภาษีตามกฎหมาย โดยทั่วไปแล้ว มีประเภทของภาษีที่อาจต้องเสีย ดังนี้:
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: ถ้าเป็นการเทรดในฐานะบุคคลธรรมดา กำไรจากการขายจะถูกเก็บภาษีตามอัตราที่เกี่ยวข้องกับรายได้ส่วนบุคคล
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): สำหรับการให้บริการหรือการขายคริปโต อาจจะมีการเก็บ VAT ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
*นักลงทุนควรจะจัดเก็บหลักฐานการทำธุรกรรมและข้อมูลทางการเงินให้ดี เพื่อใช้ในการยื่นภาษี
คุณควรลงทุนในคริปโตหรือไม่?
คริปโตและ Blockchain ได้เข้ามาปฏิวัติตลาดการเงินและเข้าถึงชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นทุกวัน ส่วนสินทรัพย์ในโลกจริงก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นเงินดิจิทัล ทำให้เราสามารถเข้าถึงมูลค่าได้จากทุกที่ทุกเวลา
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีโปรเจกต์ Blockchain หลายพันโปรเจกต์ที่พัฒนาออกมา จึงกล่าวได้ว่าไม่ใช่ทั้งหมดจะประสบความสำเร็จ
บางโปรเจกต์อาจจะไม่ได้รับความสนใจตามที่คาด ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เป็นไปได้ของคริปโต
โดยการจัดสรรส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนเพื่อซื้อคริปโตที่คุณได้ศึกษาและเข้าใจแล้วเป็นอย่างดี และเพื่อลดความเสี่ยง เราแนะนำดังนี้:
- กระจายความเสี่ยง: หากคุณเลือกที่จะลงทุนในคริปโต ให้พิจารณาการซื้อมากกว่าแค่ 1 เหรียญเพื่อกระจายความเสี่ยง แต่ยังต้องพิจารณาลงทุนในหลายโปรเจกต์ที่มุ่งเน้นไปที่หลายๆ ด้านด้วย เช่น เหรียญคริปโตที่มีมูลค่าตลาดสูงอยู่แล้ว เหรียญมีม เหรียญ pre-sale ใหม่ๆ เหรียญที่มียูทิลิตี้ในแง่ต่างๆ เป็นต้น
- ลงทุนแบบสม่ำเสมอ: ราคาคริปโตนั้นขึ้นๆ ลงๆ ราคาเทรดเหรียญและโทเค็นอาจจะได้รับผลกระทบจากอิทธิพลจากภายนอกได้เสมอ เช่น ข่าว ดังนั้นการลงทุนแบบสม่ำเสมอหรือ DCA ก็คือการซื้อเหรียญในจำนวนเงินคงที่ตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ ทำให้สามารถซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น แถมยังสามารถซื้อเหรียญเพิ่มเมื่อราคาลงได้อีกด้วย
ข้อดีและข้อด้อยของคริปโตเคอเรนซี่คืออะไร?
เรามาเจาะลึกข้อดีและข้อด้อยของคริปโตกันบ้างดีกว่า
ข้อดี:
- เป็นสินทรัพย์ที่ใช้ป้องกันเงินเฟ้อ
- ทำธุรกรรมได้รวดเร็ว
- การโอนเหรียญข้ามพรมแดน
- คริปโตคือเงินของประชาชนอย่างแท้จริง เนื่องจากมีคุณสมบัติกระจายอำนาจ
- ธุรกรรมที่ไม่ต้องมีการเชื่อถือคนกลาง
ข้อด้อย:
- ความผันผวนของราคา
- ความไม่แน่นอนด้านข้อบังคับ
- ความยากในการจัดการ Crypto Wallet
สกุลเงินดิจิทัลปลอดภัยหรือไม่?
Cryptocurrency มาพร้อมความผันผวนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนำมาซึ่งโอกาสทำกำไรและความเสี่ยง โดย Solana (SOL) ซึ่งเป็นเหรียญบนสัญญาอัจฉริยะยอดนิยม และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 9,500% ตั้งแต่เปิดตัวไปจนถึงจุด All Time High ที่ 260 ดอลลาร์
หนึ่งปีต่อมา SOL ร่วงลงต่ำกว่า 10 ดอลลาร์ เช่นเดียวกับสินทรัพย์อื่นๆ เหรียญเหล่านี้มาพร้อมความเสี่ยงด้านราคา
แต่ยังมีข้อควรพิจารณาด้านความปลอดภัยอื่นๆ เช่นกัน รวมถึงวิธีลดความเสี่ยง
- ความเสี่ยงด้านราคา: เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ยังมีอายุไม่นานและมีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างต่ำ มูลค่าคริปโตจึงมีความผันผวน เมื่อซื้อเหรียญ ให้พิจารณาการเรื่องการลงทุนแบบสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นการซื้อเมื่อเวลาผ่านไปเพื่อลดผลกระทบของความผันผวนในตลาด
- ความเสี่ยงของแพลตฟอร์ม: กระดานเทรดคริปโตนำเสนอวิธีในการเก็บเหรียญด้วย Custodial Wallet อย่างสะดวกสบาย แต่ยังควบคุมรหัสส่วนตัวเอาไว้ด้วยเช่นกัน หากกระดานแลกเปลี่ยนระงับการถอนเหรียญหรือล้มละลาย เหรียญของคุณก็จะตกอยู่ในความเสี่ยง ให้พิจารณาย้ายเหรียญไปเก็บไว้ใน Crypto Wallet ที่คุณเป็นควบคุมแทน โดยเราจะพูดถึงเรื่อง Crypto Wallet ในเร็วๆ นี้
- ความเสี่ยงจากสัญญาอัจฉริยะ: สัญญาอัจฉริยะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ก็อาจเสี่ยงต่อการถูกแฮ็ก บั๊ก หรือโค้ดโจมตีได้เช่นกัน โปรดศึกษาโปรโตคอลอย่างรอบคอบก่อนเชื่อมต่อกับสัญญาอัจฉริยะ อย่าลืมเช็คเรื่องการตรวจสอบรหัสโดยบริษัทที่เชื่อถือได้
- ความเสี่ยงทางการเมือง: รัฐบาลอาจทำให้กระดานแลกเปลี่ยนคริปโตเข้าถึงได้ยากหรือผิดกฎหมายได้ ในปี 2021 จีนสั่งห้ามการซื้อขายและการขุดคริปโต ทำให้ความเสี่ยงทางการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจซื้อ
- การ Rug Pull และละทิ้งโปรเจกต์: โปรเจกต์คริปโตที่มีศักยภาพอาจไม่ได้ไปถึงฝั่งฝันและถูกละทิ้งไปในที่สุด บางโปรเจกต์หรือโปรโตคอลอาจถูกสร้างมาเพื่อโกงด้วยซ้ำ ขอย้ำอีกครั้งว่าการตรวจสอบเหรียญอย่างรอบคอบถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
บทสรุป
คริปโตเคอร์เรนซี หรือ สกุลเงินดิจิทัล หมายถึงเงินเสมือนที่ใช้การเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย ทำงานบน blockchain ซึ่งเป็นเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ โดยมีบิทคอยน์ (Bitcoin) เป็นสกุลเงินดิจิทัลตัวแรกของโลก
คริปโตคือตัวช่วยให้เราทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยไม่ต้องมีคนกลางอย่างธนาคาร ทำให้การโอนเงินรวดเร็วขึ้นและอาจมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า
นอกจากนี้ มูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลมีความผันผวนมาก และกฎระเบียบในแต่ละประเทศก็แตกต่างกัน บางประเทศยอมรับและสนับสนุนคริปโต ในขณะที่บางประเทศมีการควบคุมที่เข้มงวด
แต่โดยรวมแล้ว สกุลเงินดิจิทัลกำลังเข้ามาปฏิวัติวิธีที่ผู้คนทำธุรกรรมและลงทุนในปัจจุบัน
ทั้งนี้ควรศึกษาอย่างละเอียดก่อนการลงทุนใดๆ เพราะทุกการลงทุนมาพร้อมความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุนทั้งหมด จึงควรลงทุนในปริมาณที่คุณสามารถสูญเสียได้เท่านั้น รวมถึงศึกษาข่าวสารการเงินอยู่เสมอ เพราะคริปโตคือสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง และทุกข่าวสารเล็กๆ สามารถส่งผลกระทบต่อราคาเหรียญได้เสมอ
อ้างอิง:
- http://www.hashcash.org/papers/hashcash.pdf
- https://www.peercoin.net/docs/proof-of-stake
- https://www.blockchain.com/explorer
- https://etherscan.io/
- https://finance.yahoo.com/news/celebrating-bitcoin-pizza-day-time-163536216.html
- https://th.cryptonews.com/cryptocurrency/fiat-money-vs-cryptocurrency/
- https://consensys.io/blog/what-is-eip-1559-how-will-it-change-ethereum
- https://fred.stlouisfed.org/series/M2SL
- https://www.usnews.com/news/best-countries/slideshows/the-10-countries-where-inflation-is-the-highest?onepage
- https://github.com/bitcoin/bips
- https://roadmap.cardano.org/en/shelley/
- https://www.justice.gov/opa/pr/russian-nationals-charged-hacking-one-cryptocurrency-exchange-and-illicitly-operating-another
- https://www.reuters.com/legal/ftx-founder-sam-bankman-fried-thought-rules-did-not-apply-him-prosecutor-says-2023-11-02/
- https://th.cryptonews.com/cryptocurrency/best-crypto-exchanges/
- https://www.sec.gov/news/press-release/2023-102
- https://www.sec.gov/news/press-release/2023-237
- https://www.coindesk.com/policy/2023/06/08/solana-foundation-sol-is-not-a-security/
- https://ca.finance.yahoo.com/news/solana-still-buy-2022-182500912.html
- https://www.reuters.com/world/china/china-central-bank-vows-crackdown-cryptocurrency-trading-2021-09-24/
- https://th.cryptonews.com/cryptocurrency/what-is-cryptocurrency/
- https://cryptonews.com/academy/what-is-cryptocurrency/