“บิทคอยน์” จ่อโค่น “ดอลลาร์”? เศรษฐีฟันธง $250K มาแน่!

บิทคอยน์ หรือ Bitcoin ผันผวนหนักในวันเดียว หลังประเด็นดราม่าระหว่าง Donald Trump กับ Elon Musk ร้อนระอุ แต่เหรียญคริปโตอันดับหนึ่งนี้ก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว จากที่ราคาลงไปเกือบแตะ $100K ในที่สุดก็กลับขึ้นมาที่ประมาณ $105K อีกครั้งในวันเดียวกัน ล่าสุดมหาเศรษฐีอย่าง Tim Draper ก็ยังยืนยันว่า BTC จะแตะ $250K อย่างแน่นอน และพร้อมเข้ามาแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในอีก 10 ปี

Tim Draper นักลงทุนชื่อดังจาก Silicon Valley ยังคงยืนกรานในคำทำนายที่ว่าบิทคอยน์จะพุ่งแตะราคา $250,000 ภายในสิ้นปี 2025 โดยเขาได้ยืนยันความคิดเห็นนี้อีกครั้งผ่านแพลตฟอร์ม X ซึ่งเป็นการตอกย้ำคำคาดการณ์ที่เขาเคยเผยไว้ครั้งแรกในปี 2018 ซึ่งขณะนั้นเขาคาดการณ์ว่า BTC จะไปถึงเป้าหมายนี้ภายในปี 2022

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ตลาดคริปโตที่ดิ่งลงอย่างหนักในปี 2022 ซึ่งได้รับผลกระทบจากการล่มสลายของ FTX ทำให้เส้นทางสู่เป้าหมายของ Tim นั้นล่าช้าออกไป ถึงกระนั้น Tim ก็ยังคงเชื่อมั่นว่าปัจจัยต่าง ๆ ในปัจจุบันมีศักยภาพเพียงพอที่จะผลักดันให้ราคาพุ่งสูงขึ้น เขายังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่าภายใน 10 ปี ดอลลาร์อาจหายไปจากระบบการเงินโลก และบิทคอยน์จะเข้ามาแทนที่

Tim Draper เปิดไทม์ไลน์เดือด BTC จะแตะ $250K เมื่อไหร่!?

สำหรับ Tim การตั้งเป้าหมาย $250,000 ไม่ใช่แค่ความคาดหวังลมๆ แล้งๆ เขากล่าวในปี 2018 ว่าบิทคอยน์จะไปถึงระดับนั้นภายในปี 2022 ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากปี 2022 สินทรัพย์ดิจิทัลหลายรายการมีมูลค่าลดลงอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม Tim ย้ำการคาดการณ์ของเขาอีกครั้ง หลังจากเห็นว่าตลาดคริปโตพุ่งขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เขายังอ้างว่า บิทคอยน์ อาจมีมูลค่า ‘ไม่สิ้นสุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์’ โดยให้เหตุผลว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะไม่มีอยู่แล้ว ท่าทีที่มั่นใจของเขาแสดงให้เห็นว่าเขายังคงยึดมั่นกับตัวเลขเดิมคือ $250,000 ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2025

TIM DRAPER: "$250,000 Bitcoin by the end of the year, but you go out 10 years and the answer is infinity against the dollar because there won't be a dollar." 👀 pic.twitter.com/W5MTYEcGsg

— Swan (@Swan) May 28, 2025

ตัวแปรลับจากรัฐ! กฎหมาย-การเมือง อาจพลิกเกมทั้งตลาด!

Tim ยังชี้ว่าการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันบิทคอยน์ไปสู่เป้าหมายของเขา โดยเขาได้อ้างถึงความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี Donald Trump ที่กำลังจัดทำข้อตกลงทางการค้าฉบับใหม่ ๆ ซึ่งหนึ่งในสัญญาณสำคัญคือการที่ Media & Technology Group ยื่นขอเปิดตัว Truth Social Bitcoin ETF เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2025

คำขอนี้ถูกส่งไปยัง NYSE Arca โดยมี Crypto.com เป็นผู้ดูแลสินทรัพย์ และเป้าหมายหลักคือการดึงดูดเงินทุนจากกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่เข้าสู่ตลาดบิทคอยน์

ในด้านกฎระเบียบ วุฒิสภาสหรัฐฯ ก็ได้ลงมติ 66–32 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม เพื่อสนับสนุน GENIUS Act ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งกำหนดกรอบการทำงานสำหรับ stablecoin ต่างๆ

นอกจากนี้ Digital Asset Market Clarity Act of 2025 ก็อยู่ในระหว่างการอภิปราย โดยได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรคการเมือง กฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความชัดเจนในกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเช่นกัน

บิทคอยน์: จากแค่เหรียญสู่เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก!

Tim ยังมองว่าธนาคารและบริษัทใหญ่ ๆ เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในตลาดคริปโต ตัวอย่างเช่น JP Morgan ที่วางแผนจะเปิดให้ลูกค้าซื้อ Bitcoin และใช้ spot Bitcoin ETFs เช่น IBIT ของ BlackRock เป็นหลักประกัน ความเคลื่อนไหวนี้อาจเปิดทางให้เงินทุนจากสถาบันไหลเข้าสู่บิทคอยน์มหาศาล

แถมข้อมูลของ Bitcoin Treasuries ก็ชี้ว่าบริษัทของ Michael Saylor อย่าง Strategy (ชื่อเดิม MicroStrategy) ครองตำแหน่งผู้นำด้วยการถือครองบิทคอยน์มากกว่า 580,000 BTC ซึ่งหากคำนวณตามราคาปัจจุบัน คลังนี้มีมูลค่าราว $6.1 หมื่นล้านเลยทีเดียว

Tim ให้ความเห็นว่าการเคลื่อนไหวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า บิทคอยน์ กำลังถูกมองเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” คล้ายกับทองคำ มากกว่าจะเป็นเพียงโทเค็นที่มีความเสี่ยง

สุดท้าย Tim ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีบนเครือข่ายบิทคอยน์ โดยเขากล่าวถึง Web3 แอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นบบิทคอยน์ และเน้นว่า “Layer 2 solutions ทำให้บิทคอยน์มีความยืดหยุ่นใกล้เคียงกับอีเธอเรียม”

ในปัจจุบัน Lightning Network ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความเร็วและลดต้นทุนในการทำธุรกรรม ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพการใช้งานในชีวิตประจำวัน Tim เชื่อว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นอีกตัวเร่งสำคัญที่ช่วยผลักดัน BTC ไปสู่ระดับราคาเป้าหมายที่เขาตั้งไว้

แม้คำทำนายของ Tim Draper จะดูท้าทายและเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน แต่ด้วยปัจจัยทางการเมือง การยอมรับจากสถาบัน และความก้าวหน้าที่ไม่หยุดยั้งของเทคโนโลยี ล้วนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้บิทคอยน์มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นสินทรัพย์หลักในอนาคต และอาจถึงขั้นเข้ามาแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะยาวก็เป็นได้