เหตุผลหลักที่ Strategic Bitcoin Reserve ของ Trump จะทำให้ตลาดคริปโตเป็นขาขึ้น

ในช่วงเช้าของวันที่ 7 มีนาคม ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ลงนามในคำสั่งจัดตั้งคลังสำรอง Bitcoin เชิงกลยุทธ์ (Strategic Bitcoin Reserve) และคลังสินทรัพย์ดิจิทัลของสหรัฐอเมริกา David Sacks หัวหน้าฝ่ายคริปโตของทำเนียบขาวเปิดเผยว่า คลังสำรองนี้จะใช้ Bitcoin ประมาณ 200,000 BTC ที่รัฐบาลยึดมาจากคดีความต่างๆ
ในทันทีที่ข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกมา ราคา Bitcoin กลับลดลงถึง 6% ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปฏิกิริยาที่ผิดคาดจากตลาด อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในวงการคริปโตมองว่านี่อาจจะเป็นการตอบสนองที่ผิดทิศทาง เพราะการตัดสินใจนี้ของ Trump มีศักยภาพที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อตลาดในระยะยาว
มาทำความเข้าใจกันว่าเหตุใด คลังสำรอง Bitcoin เชิงกลยุทธ์จึงอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดคริปโตเป็นขาขึ้นในอนาคต และทำไมผู้บริหารบริษัทคริปโตชั้นนำจึงมองว่านี่เป็นพัฒนาการที่น่าตื่นเต้นสำหรับวงการ Bitcoin และอุตสาหกรรมคริปโตทั้งหมด
รัฐบาลสหรัฐฯ มีโอกาสน้อยลงที่จะ “แบน” Bitcoin
Matt Hougan หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Bitwise ได้บอกว่า ผลดีที่สำคัญที่สุดของการมี Strategic Bitcoin Reserve (SBR) คือรัฐบาลสหรัฐฯ จะมีโอกาสน้อยลงที่จะ “แบน” Bitcoin ในอนาคต เมื่อรัฐบาลมี Bitcoin เอง ก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่า Bitcoin มีความสำคัญและเป็นการให้ความชอบธรรมกับสกุลเงินดิจิทัลนี้
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขา Minneapolis เคยเสนอแนะว่าอาจจะต้องห้ามหรือเก็บภาษี Bitcoin เพื่อควบคุมผลกระทบต่องบประมาณของรัฐบาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบางหน่วยงานเคยคิดที่จะจำกัดการใช้งาน Bitcoin
การที่รัฐบาลตัดสินใจสร้างคลังสำรอง Bitcoin เชิงกลยุทธ์จึงเป็นการเปลี่ยนท่าทีอย่างชัดเจน และส่งสัญญาณว่ารัฐบาลเห็นคุณค่าของ Bitcoin มากกว่าจะมองว่าเป็นภัยคุกคาม นี่ทำให้นักลงทุนและผู้ถือ Bitcoin มั่นใจได้ว่าความเสี่ยงที่จะถูกแบนลดลงมาก
นอกจากนี้ John Deaton ทนายความด้านคริปโต ยังระบุว่า รัฐมนตรีกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ได้รับคำสั่งให้หาวิธีซื้อ BTC เพิ่มโดยไม่กระทบงบประมาณ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีความตั้งใจจริงที่จะลงทุนใน Bitcoin ในระยะยาว
ประเทศอื่นๆ อาจจะเริ่มสะสม Bitcoin ตามอเมริกา
Hougan อธิบายว่า การที่สหรัฐฯ มีคลังสำรอง Bitcoin จะทำให้ประเทศอื่นๆ อาจจะรีบสร้างคลังสำรอง Bitcoin ของตนเองบ้าง เพราะพวกเขาอาจต้องการ “แซงหน้า” ก่อนที่สหรัฐฯ จะเริ่มซื้อ Bitcoin เพิ่ม
ตอนนี้ สหรัฐฯ เป็นผู้นำในการถือครอง Bitcoin ระดับประเทศ โดยมี 207,189 BTC มูลค่าประมาณ 18,000 ล้านดอลลาร์ จีนอยู่อันดับ 2 ด้วยจำนวนประมาณ 194,000 BTC และสหราชอาณาจักรอันดับ 3 ถือครอง 61,000 Bitcoin
Brian Armstrong ซีอีโอของ Coinbase กล่าวว่า “ผมคาดว่าหลายประเทศในกลุ่ม G20 จะสังเกตเห็นและสุดท้ายจะทำตามอเมริกา” ซึ่งบ่งชี้ว่าประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อาจจะเริ่มพิจารณาสร้างคลังสำรอง Bitcoin ของตนเองเร็วๆ นี้
El Salvador เป็นประเทศแรกและประเทศเดียวที่ประกาศให้ BTC เป็นเงินที่ถูกกฎหมาย ประเทศนี้ยังคงซื้อ Bitcoin ต่อเนื่องและตอนนี้มี 6,103 BTC มูลค่าประมาณ 534 ล้านดอลลาร์ การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ อาจทำให้ประเทศอื่นๆ กล้าทำตาม El Salvador มากขึ้น
การสร้างความชอบธรรมให้ Bitcoin ในสายตาของสถาบันการเงิน
การที่สหรัฐฯ มีคลังสำรอง Bitcoin เชิงกลยุทธ์ทำให้องค์กรระหว่างประเทศอย่าง International Monetary Fund (IMF) จะมีความยากลำบากมากขึ้นที่จะคัดค้านว่า Bitcoin เป็นสิ่งอันตรายหรือไม่ควรถือครอง นี่เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ Bitcoin ในระดับโลก
IMF เคยต่อต้านประเทศต่างๆ เช่น El Salvador ที่ลงทุนใน BTC เมื่อต้นเดือนมีนาคม IMF อนุมัติเงินกู้ 1.4 พันล้านดอลลาร์ให้ El Salvador โดยมีเงื่อนไขว่าต้องหยุดสะสม Bitcoin โดยระบุว่า “ห้ามภาครัฐใน El Salvador สะสม BTC เพิ่มโดยสมัครใจ”
Ryan Rasmussen หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Bitwise กล่าวว่าจุดประสงค์ไม่ใช่ “รัฐบาลสหรัฐฯ ซื้อ Bitcoin ทั้งหมดในโลก” แต่การที่สหรัฐฯ มีคลังสำรอง Bitcoin เชิงกลยุทธ์ หมายความว่า “ประเทศอื่นๆ จะซื้อ BTC, ผู้จัดการกองทุนไม่มีข้ออ้าง, สถาบันการเงินไม่มีข้ออ้าง, กองทุนบำเหน็จบำนาญไม่มีข้ออ้าง”
David Marcus ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Lightspark กล่าวสั้นๆ ว่า “นี่เป็นผลลัพธ์ที่สมดุลและการตัดสินใจที่ถูกต้องตอนนี้” และเสริมว่าเขา “ดีใจที่เหตุผลชนะ” แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ผู้นำในอุตสาหกรรมก็มองว่านี่เป็นการพัฒนาที่สมเหตุสมผลสำหรับวงการคริปโต
ความท้าทายและข้อกังวลเกี่ยวกับ Strategic Bitcoin Reserve
แม้ส่วนใหญ่จะมองในแง่บวกต่อ Strategic Bitcoin Reserve แต่ก็มีความเห็นต่างจาก JPMorgan ที่บอกว่าโอกาสที่คลังสำรองคริปโตของสหรัฐฯ จะได้รับการอนุมัติมีน้อยกว่า 50% เพราะต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา
Nikolaos Panigirtzoglou ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ตลาดโลกที่ JPMorgan กล่าวว่า “เราไม่เชื่อว่าคลังสำรองคริปโตของสหรัฐฯ จะได้รับการอนุมัติง่ายๆ (ถ้าต้องผ่านรัฐสภา) ดังนั้นโอกาสจึงน้อยกว่า 50% ในความเห็นของเรา”
JPMorgan ยังมองว่าถ้าคลังสำรองได้รับการอนุมัติ การรวมเหรียญที่มูลค่าน้อยกว่า Bitcoin และ Ethereum จะเป็นเรื่องยาก เพราะจะสร้างความกังวลเรื่องความเสี่ยงและความผันผวนมากเกินไป
รายงานของ JPMorgan ยังชี้ว่าข้อเสนอคล้ายกันในระดับรัฐเคยล้มเหลวมาแล้วในหลายรัฐ เช่น Montana, North Dakota, South Dakota และ Wyoming เพราะนักกฎหมายกังวลเรื่องความเสี่ยงและความผันผวน ในระดับโลก ธนาคารกลางหลายแห่งก็ยังลังเลที่จะยอมรับ Bitcoin
นอกจากนี้ ตลาดคริปโตอาจจะยังคงมีแรงกดดันในระยะสั้น เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับคลังสำรองของสหรัฐฯ รวมกับเงินไหลออกจาก ETF จำนวนมากและปัจจัยตลาดอื่นๆ ตามรายงานของ JPMorgan ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
ผลกระทบต่อตลาดคริปโตโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คนก็ยังเชื่อว่า การจัดตั้งคลังสำรองในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่จะทำให้อุตสาหกรรมคริปโตเติบโตมากขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะเหรียญคริปโตที่น่าลงทุนระยะยาวอย่าง Bitcoin ที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง
เมื่อตลาด Bitcoin กำลังจะเฟื่องฟูมากขึ้นจากการยอมรับในระดับสถาบันและรัฐบาล การมี กระเป๋าเงิน Bitcoin ที่ดีที่สุด จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักลงทุนทุกระดับ Best Wallet เป็นกระเป๋าคริปโต Web3 ที่ครบวงจร ซึ่งนำเสนอโซลูชันการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับสถาบันจาก Fireblocks พร้อมการยืนยันตัวตนด้วยระบบไบโอเมตริก และการเข้ารหัสข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
ปัจจุบัน Bitcoin กำลังฟื้นตัวและแตะระดับ 88,000 ดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดอาจเริ่มมองเห็นภาพใหญ่ของความเปลี่ยนแปลงนี้ และการจัดตั้ง Strategic Bitcoin Reserve อาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคริปโตครั้งใหญ่
เรามุ่งมั่นในการให้ความโปร่งใสกับผู้อ่าน เนื้อหาบางส่วนอาจมี Affiliate Links ซึ่งเราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่น เพื่อความโปร่งใสสามารถอ่าน Affiliate Disclosure เพิ่มเติม






