ผู้ร่วมก่อตั้ง Ripple เชื่อ Kamala Harris ช่วยกู้วิกฤตินโยบายคริปโตสหรัฐฯ ได้

Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้ง Ripple กล่าวว่าเขาเชื่อมั่นว่า Kamala Harris สามารถเป็นบุคคลสำคัญในการแก้ไขนโยบายคริปโตที่เขามองว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของรัฐบาล Joe Biden ได้

ในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC ที่เผยแพร่เมื่อวันที่อังคารที่ผ่านมา Larsen ได้แสดงความคิดเห็นอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของกฎระเบียบคริปโตในสหรัฐฯ โดยเรียกมันว่าเป็น “สงครามต่อต้านคริปโตที่ผิดทิศผิดทาง”

ความเห็นของ Larsen เกิดขึ้นในขณะที่ภาคส่วนคริปโตมีส่วนร่วมในการสนับสนุนทางการเมืองมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจด้านกฎระเบียบ ตามข้อมูลของ Public Citizen อุตสาหกรรมนี้ได้ลงทุนมากกว่า 119 ล้านดอลลาร์ในแคมเปญการเมือง ระดับการลงทุนนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาคส่วนในการกำหนดนโยบายท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ

ผู้ร่วมก่อตั้ง Ripple สนับสนุนแคมเปญ Kamala Harris ด้วย XRP มูลค่า 10 ล้านดอลลาร์

เมื่อไม่นานมานี้ Larsen ได้บริจาค XRP มูลค่า 10 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนแคมเปญของ Harris ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดจากภาคส่วนคริปโตในช่วงการเลือกตั้งนี้

“เรารู้สึกตื่นเต้นมากกับความคิดเห็นทางเศรษฐกิจของเธอ” เขากล่าว “มันเป็นข้อความที่สนับสนุนนวัตกรรม และทำให้แน่ใจว่านักสู้ชาวอเมริกันของเราจะครอบครองอุตสาหกรรมทั่วโลก”

Larsen วิจารณ์ Gensler ประธาน SEC ว่าเป็น ‘ข้าราชการที่แย่ที่สุด’

นอกจากนี้ Larsen ยังวิจารณ์ประธาน SEC Gary Gensler อย่างรุนแรง โดยเรียกเขาว่า “ข้าราชการที่แย่ที่สุดในประเทศนี้” คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ระหว่างบรรดา ‘ผู้นำภาคส่วนคริปโต’ และ ‘หน่วยงานกำกับดูแล’ ซึ่งมักจะได้พบชื่อของ Gensler อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นประเด็นถกเถียงเนื่องจากจุดยืนด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดต่อภาคส่วนคริปโตของเขา

วิธีการจัดการกฎระเบียบคริปโตของ Gensler ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเน้นการบังคับใช้มากกว่าการให้แนวทางที่ชัดเจน นักวิจารณ์กล่าวว่า แนวทางของเขาสร้างบรรยากาศแห่งความไม่แน่นอนและความขัดแย้งทางกฎหมาย แทนที่จะเป็นสภาพแวดล้อมที่ธุรกิจคริปโตสามารถดำเนินการได้อย่างมั่นใจภายใต้กรอบกฎหมายที่ชัดเจน

Ripple เองก็ประสบปัญหาด้านกฎระเบียบอย่างมากกับ SEC โดยเน้นในประเด็นที่ว่า XRP ควรถูกจัดประเภทเป็นหลักทรัพย์หรือไม่

Larsen ไม่เพียงแต่วิจารณ์การขาดกฎระเบียบที่ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่สหรัฐฯ จะเกิดอุปสรรคในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงหลายภาคส่วนทั่วโลก