Bitcoin DeFi เติบโต – จับตา Layer 2 โอกาสทองของระบบนิเวศ BTC?

ขณะที่ BTC กำลังฟื้นตัวและ Bitcoin DeFi เติบโตขึ้น เครือข่ายบล็อกเชน Layer-2 ก็มีบทบาทสำคัญในการรับรองการกระจายศูนย์อำนาจ จับตาการพัฒนาและโอกาสในระบบนิเวศของบิทคอยน์
วงการการเงินกระจายศูนย์ หรือ Decentralized Finance (DeFi) ที่เกี่ยวข้องกับบิทคอยน์ได้ถูกพูดถึงมานานหลายปีแล้ว และผู้เชี่ยวชาญในวงการคาดการณ์ว่าในปี 2025 นี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการใช้งาน DeFi ด้วย Bitcoin อย่างแพร่หลาย
รายงานจาก Bitcoin Builders Association เปิดเผยว่ามากกว่า 70% ของผู้ถือครอง Bitcoin ในปัจจุบันสนใจที่จะนำเหรียญของตนไปใช้ในแอปพลิเคชัน DeFi
ข้อมูลจาก Galaxy ซึ่งเป็นผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล ระบุว่าโครงการ Layer-2 (L2) ที่พัฒนาบน Bitcoin ได้เพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า จาก 10 โครงการในปี 2021 เป็น 75 โครงการในปัจจุบัน
นอกจากนี้ กว่า 36% ของเงินทุนที่เกี่ยวข้องกับ L2 ของ Bitcoin ได้ถูกใช้ไปในปีที่ผ่านมา รวมถึงการลงทุนทั้งหมดกว่า $447 ล้านในโครงการ L2 ตั้งแต่ปี 2018
07 – More than half the top 20 publicly traded Bitcoin miners by market cap will announce transitions to or enter partnerships with hyperscalers, AI, or high-performance compute firms.
Growing demands for compute deriving from AI will lead Bitcoin miners to increasingly…
— Galaxy Research (@glxyresearch) December 27, 2024
Galaxy ยังคาดการณ์ว่าเงินทุนที่ระดมได้จะถูกนำไปพัฒนาแอปพลิเคชันและกรณีการใช้งานใหม่ๆ สำหรับ Bitcoin โดยมีการคาดการณ์ว่า BTC มูลค่ากว่า $4.7 หมื่นล้าน อาจถูกรวมเข้าสู่ระบบ Bitcoin L2 ภายในปี 2030
Bitcoin L2 คืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญ?
การเติบโตของ Bitcoin L2 น่าประทับใจ ดังนั้น การทำความเข้าใจวัตถุประสงค์ของเครือข่าย L2 ของบิทคอยน์จึงเป็นสิ่งสำคัญ
Sergio Demian Lerner ผู้ร่วมก่อตั้ง Rootstock ซึ่งเป็น Bitcoin L2 และนักวิทยาศาสตร์ในวงการ อธิบายกับ Cryptonews ว่า Bitcoin L2 คือบัญชีแยกประเภทที่ทำธุรกรรมด้วย BTC โดยยึดมั่นในหลักการของบิทคอยน์ อย่างความกระจายศูนย์กลาง การถือครองสินทรัพย์ด้วยตัวเอง ความหายากขาดแคลน และการมีส่วนร่วมที่ไม่ต้องรับอนุญาต
“บัญชีแยกประเภทใดที่เกี่ยวข้องกับหรืออยู่บน Bitcoin แต่ไม่ได้ยึดตามหลักการของ Bitcoin จะไม่สามารถถือว่าเป็น L2 ของ Bitcoin ได้” Lerner กล่าว “นั่นจะเป็นเพียงเครือข่ายการชำระเงินที่ใช้บิทคอยน์ในการทำธุรกรรมเท่านั้น”
การกระจายอำนาจใน L2: ความท้าทายและแนวทางแก้ไข
ความกระจายศูนย์กลางเป็นหัวใจสำคัญของ Bitcoin L2 แต่การบรรลุเป้าหมายนี้กลับไม่ใช่เรื่องง่าย
Willem Schroé ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Botanix Labs ซึ่งเป็น Bitcoin L2 บอกกับ Cryptonews ว่าการกระจายศูนย์กลางใน L2 นั้นเกี่ยวข้องกับการแก้ไขความท้าทาย เช่น การประสานงานของเครือข่ายขนาดใหญ่ การรับประกันการมีส่วนร่วมที่เป็นธรรม และการเข้าถึงสภาพคล่องที่ซ่อนอยู่ของ Bitcoin
“วิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้คือการออกแบบระบบที่ใช้ Proof-of-Work (PoW) ของ Bitcoin เพื่อความปลอดภัย ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ตรวจสอบเพื่อสร้างฐานผู้ใช้ที่มีส่วนร่วม และทำให้กระบวนการใช้งานง่ายขึ้น เพื่อให้ Bitcoiners จำนวนมากขึ้นสามารถนำ BTC ที่ไม่ได้ใช้งานมาทำงานได้” Schroé อธิบาย
เขาเสริมว่าการกระจายศูนย์ใน L2 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างการตั้งค่าที่อำนาจจะกระจายไปอย่างทั่วถึง แรงจูงใจสอดคล้องกับสถานะของเครือข่าย และเครื่องมือต่างๆ สามารถเข้าถึงได้เพียงพอที่จะเปลี่ยนมูลค่าที่ถูกล็อคให้เป็นสินทรัพย์ที่ใช้งานได้
BTC สร้างความแตกต่างในการกระจายศูนย์อย่างไร?
Schroé กล่าวเพิ่มเติมว่า Botanix ใช้แพลตฟอร์มที่ชื่อว่า “Spiderchain” เพื่อบรรลุความกระจายศูนย์ Spiderchain เป็นแพลตฟอร์มการเงินบนเครือข่ายบิทคอยน์ที่ใช้กระเป๋าเงินแบบ multisignature ที่ดำเนินการโดย orchestrators ที่ต้องวาง BTC เป็นหลักประกัน
“orchestrators จะถูกสุ่มเลือกในทุกบล็อกของ Bitcoin ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงการควบคุมจากศูนย์กลางหรือการเซ็นเซอร์” Schroé กล่าว
นอกจากนี้ Spiderchain ยังเพิ่ม Proof-of-Stake (PoS) เข้าไปบน PoW ของ Bitcoin เพื่อยึดโยงความปลอดภัยกับ Bitcoin พร้อมรองรับการทำงานของ smart contracts หรือสัญญาอัจฉริยะ
ในขณะเดียวกัน Stacks ซึ่งเป็น Bitcoin L2 อีกรายหนึ่ง ก็มีแนวทางที่แตกต่างในการกระจายศูนย์ Rena Shah ผู้ร่วมพัฒนา Stacks อธิบายว่าหลังจากอัปเดต Stacks Nakamoto เครือข่ายได้ดำเนินการหลายขั้นตอนเพื่อเสริมสร้างความกระจายศูนย์ โดยเป็นเครือข่ายเปิดที่มีผู้ตรวจสอบบล็อกหลายพันคนเข้าร่วม
Demian Lerner ยังกล่าวว่ารูปแบบการกระจายศูนย์ในแต่ละ L2 นั้นมีความแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น Rootstock ซึ่งเป็น sidechain ของบิทคอยน์ใช้โปรโตคอล consensus ที่คล้ายกับ Bitcoin อย่างมากผ่านการ merge-mining ซึ่งช่วยให้นักขุดบิทคอยน์สามารถรักษาความปลอดภัยให้กับ Rootstock และสร้างรายได้ใน Bitcoin ไปพร้อมกัน
สำหรับ Lightning Network ความกระจายศูนย์เกิดขึ้นจากการที่ใครก็สามารถสร้างช่องทาง (channels) เพื่อให้ผู้อื่นใช้สำหรับการชำระเงินได้ อย่างไรก็ตาม Lerner ชี้ว่า Lightning Network ยังไม่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากยังมีช่องโหว่อยู่ ตัวอย่างเช่น wormhole attack
Layer-2 กระจายศูนย์ได้มากแค่ไหน?
แม้ Bitcoin L2 จะสร้างขึ้นบนมาตรฐานที่กระจายศูนย์ แต่ Lerner เชื่อว่ายังไม่มี L2 ใดที่สามารถบรรลุความกระจายศูนย์ได้อย่างสมบูรณ์
“ในการขยาย Bitcoin L2 ทุกระบบจะมีการแลกเปลี่ยนระหว่างประสิทธิภาพ (ความเร็ว/ปริมาณ) ความเป็นส่วนตัว ความสามารถในการใช้งาน และความกระจายศูนย์” เขากล่าว
เขาเน้นย้ำว่าความสามารถของ L2 ในการสร้าง “light client” ที่ปลอดภัยและสามารถใช้งานได้เป็นสิ่งสำคัญ โดย light client หมายถึงอุปกรณ์ที่มีทรัพยากรจำกัด เช่น สมาร์ทโฟน ทั้งนี้ แม้ Rootstock จะรองรับระบบ light client แต่ยังไม่มีการพัฒนา light client ที่ใช้งานได้จริงในปัจจุบัน
อนาคตที่สร้างจาก Bitcoin L2 เป็นอย่างไร?
แม้จะมีความท้าทาย แต่การเติบโตอย่างต่อเนื่องของ Bitcoin L2 ถือเป็นสัญญาณที่ดี
Manu Ferrari ผู้ร่วมก่อตั้ง Money On Chain Protocol เชื่อว่าการพัฒนาระบบ Layer-2 นี้กำลังมุ่งไปสู่การซึมซับเลียนแบบระบบการเงินแบบดั้งเดิม โดยเปลี่ยน BTC ให้เป็นสินทรัพย์พื้นฐานแทนเงินดอลลาร์สหรัฐ
“ปัจจุบัน ระบบการเงินส่วนใหญ่ เช่น ธนาคาร การกู้ยืม อนุพันธ์ การชำระเงิน และการค้าทั่วโลก ใช้ USD เป็นฐานของมูลค่า” Ferrari กล่าว
“แต่ Bitcoin L2 (ซึ่งในอนาคตจะเป็น Layer3) มีศักยภาพที่จะนำโครงสร้างเหล่านี้มาใช้งาน โดยอิงคุณสมบัติของ Bitcoin เช่น ความกระจายศูนย์ การต้านการเซ็นเซอร์ และการลดความไว้วางใจ”
เขาเสริมว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจนำไปสู่การใช้ stablecoins ที่อิง Bitcoin แทนระบบที่ใช้ USD และทำให้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินแบบกระจายศูนย์ เช่น อนุพันธ์ หรือผลิตภัณฑ์ DeFi ทำงานบน Bitcoin L2 ได้ในอนาคต
ในระหว่างนี้ Shah กล่าวว่าการรักษาความกระจายศูนย์และความปลอดภัยยังคงเป็นสิ่งสำคัญ “ผู้คนต้องการใช้ Bitcoin และพวกเขาต้องการให้ BTC ของพวกเขาทำงานใน DeFi ระบบ L2 ที่สร้างประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อจะประสบความสำเร็จสูงสุด” เธอกล่าว






