เรือจีนถูกตั้งข้อสงสัย: แอบทำลายสายเคเบิลข้อมูลใต้ทะเล

ลูกเรือของเรือบรรทุกสินค้าจีนถูกกล่าวหาว่าแอบตัดสายอินเทอร์เน็ตใต้น้ำที่สำคัญ 2 เส้นโดยเจตนา ซึ่งอาจจะตามคำขอของรัสเซีย
จากการสืบสวนหลากหลายชาติเผยว่าเรือ Yi Peng 3 ได้ลากสมอเรือไปไกลกว่า 100 ไมล์ (ประมาณ 160 กิโลเมตร) ตามพื้นทะเลในทะเลบอลติก รายงานจาก Wall Street Journal ระบุ การกระทำดังกล่าวได้สร้างความเสียหายต่อสายเคเบิลอินเทอร์เน็ต 2 ชุด
โดยชุดหนึ่งเชื่อมต่อระหว่างฟินแลนด์และเยอรมนี และอีกชุดเชื่อมต่อระหว่างสวีเดนและลิทัวเนีย การสืบสวนเริ่มต้นขึ้นหลังจากสายเคเบิลดังกล่าวหยุดทำงานกะทันหัน ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน
อย่างไรก็ตาม นักสืบได้รับความร่วมมือจากบริษัทที่ปฏิบัติการเรืออย่าง Ningbo Yipeng Shipping ซึ่งกำลังขนส่งปุ๋ยจากรัสเซียในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว แหล่งข่าวจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและข่าวกรองของตะวันตกที่อ้างอิงโดย Journal ระบุว่า พวกเขาไม่คิดว่ารัฐบาลจีนมีส่วนเกี่ยวข้องในแผนการใดๆ
ทีมสืบสวนยังคงตรวจสอบความเป็นไปได้ของการมีส่วนเกี่ยวข้องจากรัสเซีย ทั้งนี้รัสเซียปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำการใดๆ แต่ก็ยังคงอยู่ในสภาวะสงครามกับยูเครน ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับการสนับสนุนจากหลายชาติในยุโรป รวมถึง 4 ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสายเคเบิลที่ถูกตัดด้วย
เจ้าหน้าที่ในยุโรปจึงยังสงสัยว่ารัสเซียอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใต้น้ำในอดีต รวมถึงการก่อสงครามไซเบอร์ต่อต้านยุโรป
ไม่นานมานี้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้อนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธ ATACMS ที่ผลิตในสหรัฐฯ ได้ เพื่อต่อต้านบรรดาเป้าหมายในประเทศรัสเซีย
ทางด้าน Vladimir Putin ประธานาธิบดีรัสเซียก็ได้ออกมาตอบโต้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การทดสอบเทคโนโลยีขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก และการแสดงความเห็นว่าขณะนี้สหรัฐฯ และอังกฤษมีสถานะเป็นศัตรู “โดยตรง” กับรัสเซียเป็นต้น ตามที่ Reuters ระบุ
นอกจากนี้ Putin ยังได้ลดมาตรฐานการใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยกล่าวว่าประเทศรัสเซียพร้อมที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อตอบโต้การโจมตีทั่วไปที่เป็นภัยต่ออธิปไตยของประเทศ
การตัดสายเคเบิลที่อาจมีการเกี่ยวข้องกับรัสเซียนี้ อาจมีผลกระทบเป็นวงกว้างต่อโลกคริปโต ซึ่งในระยะสั้นผลกระทบอาจจะเป็นแค่ความเสียหายทางเทคนิคต่อโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต แต่ผลที่ตามมาในระยะยาวอาจจะรวมถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้น การกดดันด้านกฎระเบียบที่สูงขึ้น และความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่เพิ่มมากขึ้น จึงกล่าวได้ว่าในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงหากันและมีระบบการเงินที่กระจายอำนาจมากขึ้นนั้น ตลาดคริปโตก็จะต้องปรับตัวให้เร็วเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้เช่นกัน ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ






