คดี Bybit ยังไม่จบ: แฮกเกอร์ฟอก ETH $335M – ⅓ ของเงินที่ถูกขโมย

แฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตี Bybit ได้ฟอกเงินในรูปแบบของ Ethereum (ETH) จำนวน 45,900 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าประมาณ $113 ล้าน ภายในระยะเวลาเพียง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ตามข้อมูลจาก EmberCN บนแพลตฟอร์ม X (เดิม Twitter) การโจมตีครั้งนี้ส่งผลให้อีเธอเรียมถูกฟอกไปแล้วรวมทั้งสิ้น 135,000 เหรียญ ซึ่งมีมูลค่ารวม $335 ล้าน ตัวเลขนี้คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของจำนวนอีเธอเรียมที่ถูกขโมยไปทั้งหมด
“ในขณะนี้ ที่อยู่ของแฮกเกอร์ Bybit ยังคงถือครองอีเธอเรียมอยู่จำนวน 363,900 เหรียญ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ $900 ล้าน” ข้อความในโพสต์บน EmberCN ระบุ “ถ้าแฮกเกอร์ยังคงฟอกเงินในอัตราเดียวกันนี้ จะใช้เวลาเพียงประมาณ 8-10 วันในการฟอกอีเธอเรียมทั้งหมดออกไป”
ข้อมูลจาก DeFiLlama และ ZachXBT ชี้ให้เห็นเบื้องหลังการโจมตี
ก่อนเกิดเหตุการณ์การแฮก Bybit มีสินทรัพย์รวมมูลค่าสูงถึง $1.7 หมื่นล้าน ตามข้อมูลจาก DeFiLlama การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และนักวิเคราะห์บล็อกเชนชื่อดังอย่าง ZachXBT ได้ค้นพบหลักฐานที่ชี้ว่า Lazarus Group ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อกระฉ่อนอยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความกังวลในชุมชนคริปโตเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ดิจิทัลและคู่เทรดต่าง ๆ ในตลาดอย่างชัดเจน
ราคา ETH ร่วงลงทันทีหลังเกิดเหตุ
ข่าวการแฮกครั้งใหญ่นี้ส่งผลให้ราคาของ Ethereum ร่วงอย่างรวดเร็ว โดยในวันพุธราคาร่วงลง 3.25% จาก $2,460 ในช่วงเช้าของวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ลงไปที่ $2,380 ภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงหลังมีการประกาศข่าว
อย่างไรก็ตาม ราคาได้ฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ $2,435 ณ เวลาที่รายงาน ตามข้อมูลจาก CoinMarketCap
ในเวลาเดียวกัน ปริมาณการซื้อขายในตลาดก็พุ่งสูงขึ้น โดยคู่ ETH/USDT บน Binance มียอดซื้อขายใน 24 ชั่วโมงสูงถึง 1.2 ล้านเหรียญ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าที่มียอดเพียง 800,000 เหรียญ
การพุ่งขึ้นของปริมาณการซื้อขายแบบฉับพลันนี้สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวในตลาดที่อาจเกิดจากแรงเทขายหรือความตื่นตระหนกของนักลงทุน
Chainflip อัปเกรดระบบเพื่อสกัดกั้นการฟอกเงินของแฮกเกอร์ Bybit
ในอีกด้านหนึ่ง Chainflip ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Crosschain decentralized exchange (DEX) ได้ประกาศการอัปเกรดโปรโตคอลเพื่อป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์ใช้แพลตฟอร์มของตนในการฟอกเงินที่ถูกขโมยไป
Chainflip Labs ระบุว่าการอัปเกรดครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อปกป้องผู้ให้บริการสภาพคล่อง (LPs) และผู้ใช้งานทั่วไป โดยเน้นย้ำถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการที่เงินที่ผิดกฎหมายถูกไหลเวียนผ่านระบบ
การอัปเกรดโปรโตคอลเวอร์ชั่น 1.7.10 จะมาพร้อมกับเครื่องมือกรองข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะช่วยให้ผู้ดำเนินการโบรกเกอร์ เช่น SwapKit และ Rango DEX aggregator สามารถบล็อกการฝาก ETH และโทเค็น ERC20 ที่น่าสงสัยได้
Chainflip ยังเปิดเผยอีกว่าผู้เข้าร่วมในระบบนิเวศของแพลตฟอร์มทุกคนได้ตกลงที่จะบังคับใช้มาตรการนี้โดยสมัครใจ เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสภาพคล่องและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของแพลตฟอร์มในระยะยาว






