BTC จะเป็นอย่างไร? เมื่อแบงก์เคยจ้องจะดับ แต่ทรัมป์กลับเปิดทาง

ธนาคารกำลังพยายามที่จะจำกัดการเข้าถึงคริปโตเคอร์เรนซีผ่านกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องระบบการเงินแบบดั้งเดิมและป้องกันการไหลออกของเงินทุนไปยังสินทรัพย์ดิจิทัล ตัวอย่างเช่น ธนาคารบางแห่งอาจจำกัดจำนวนเงินที่ลูกค้าสามารถใช้ซื้อ Bitcoin (BTC) หรือคริปโตอื่นๆ ได้ หรืออาจเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี
ความเคลื่อนไหวของธนาคารเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาด crypto ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินและอำนาจของธนาคารกลาง นอกจากนี้ ธนาคารยังกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี เช่น การฟอกเงิน การฉ้อโกง และความผันผวนของราคา
ธนาคารกังวลอะไรจากการขยายตัวของ BTC?
ในยุคสมัยของ Biden ธนาคารเคยมองการเติบโตของบิทคอยน์เป็นภัยคุกคาม ที่อาจทําลายโครงสร้างธุรกิจการเงินแบบดั้งเดิม
ด้วยเหตุผลที่ว่าบิทคอยน์เสนอวิธีการทําธุรกรรมที่ไม่จําเป็นต้องผ่านตัวกลางทางการเงินแบบเดิม ซึ่งอาจลดทอนรายได้และอํานาจของธนาคารในฐานะผู้ควบคุมระบบการเงินที่เคยมีบทบาทสําคัญมาโดยตลอด
นอกจากนี้ การขยายตัวของคริปโตยังสร้างข้อกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาความผันผวนที่สูงของคริปโตเคอร์เรนซีเหล่านี้
หากมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในระบบเศรษฐกิจ อาจนํามาซึ่งความเสี่ยงต่อความเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม ด้วยเหตุนี้ ธนาคารหลายแห่งจึงพยายามลดความน่าเชื่อถือของ BTC เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
อีกหนึ่งประเด็นที่ธนาคารกังวลคือความท้าทายในการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านกฎหมาย เนื่องจากบิทคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ ยังคงขาดกฎระเบียบที่ชัดเจนในหลายประเทศ ทําให้ธนาคารต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการตรวจสอบและควบคุมธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้
ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของมูลค่าหรือความปลอดภัย แม้จะยังมีข้อถกเถียงมากมาย แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ Bitcoin ได้เข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าของระบบการเงินโลก และธนาคารจําเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับทั้งความท้าทายและโอกาสที่มาพร้อมกับสินทรัพย์นี้
หลังจากที่ต้องเจอกับการปิดกั้นจากฝ่ายบริหารของ Biden มาเป็นเวลาหลายปี ธนาคารอาจได้รับไฟเขียวจากประธานาธิบดี Donald Trump ผู้สนับสนุนสกุลเงินดิจิทัล และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในการให้บริการเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซีในอนาคต
ดังนั้นธนาคารที่เคยถูกกันออกไปจากอุตสาหกรรมนี้ กําลังเตรียมพร้อมที่จะเข้ามามีส่วนร่วม โดยตั้งเป้าจะแข่งขันกับบริษัทอย่าง Coinbase Global, Robinhood Markets และ BlackRock เพื่อชิงส่วนแบ่งในตลาดคริปโตที่กําลังเติบโต
แนวทางที่เปลี่ยนไป
หน่วยงาน Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) วางแผนปรับปรุงแนวทางสําหรับธนาคารเกี่ยวกับคริปโต โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ธนาคารสามารถเริ่มต้นกิจกรรมเกี่ยวกับคริปโตได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานกํากับดูแลในบางกรณี
นอกจากนี้ ธนาคารบางแห่งยังได้เจรจากับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเพื่อผลักดันให้สามารถให้บริการดูแลสินทรัพย์คริปโต รวมถึงการใช้ “tokenized deposits” ซึ่งอาจนําบัญชีเช็คบางส่วนเข้าสู่ระบบบล็อกเชน
ตามข้อมูลของ Barron’s ระบุว่า Brian Moynihan ซีอีโอของ Bank of America กล่าวว่า “ถ้ากฎระเบียบที่ชัดเจนถูกนํามาใช้ และทําให้การทําธุรกิจเกี่ยวกับคริปโตกลายเป็นเรื่องจริง
ธนาคารจะเข้ามามีบทบาทในส่วนธุรกรรมอย่างหนักแน่น” เขากล่าวในระหว่างการสัมภาษณ์กับ CNBC ที่งาน World Economic Forum ในเมือง Davos ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมระบุว่า คริปโตเป็นเพียง “อีกหนึ่งรูปแบบของการชําระเงิน” เท่านั้น
ทรัมป์พลิกเกม สนับสนุน Bitcoin สวนทางแบงก์ในอดีต
จากที่เราได้เห็นทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ในฐานะประธานาธิบดี เห็นได้ชัดว่าเขามีท่าทีที่ต่างไปจากสมัยแรก และอ้าแขนรับอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีอย่างเต็มที่ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยวิพากษ์วิจารณ์ BTC อย่างรุนแรงก็ตาม
ซึ่งการสนับสนุนของ Trump อาจส่งผลให้มีการผ่อนปรนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งอาจทำให้บิทคอยน์และคริปโตอื่นๆ เข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็เช่น Strategy (เดิม MicroStrategy) หันมาโฟกัสที่การสะสมบิทคอยน์มากขึ้นจนมีหลายๆ บริษัททำตาม
นอกจากนี้ การสนับสนุนของ Trump อาจเป็นการส่งสัญญาณไปยังนักลงทุนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเปิดรับนวัตกรรมทางการเงิน ซึ่งอาจดึงดูดเงินทุนจำนวนมากเข้าสู่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี
แม้ว่า Trump จะยังไม่ได้แต่งตั้งผู้นําถาวรให้กับหน่วยงานกํากับดูแลที่ควรเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร แต่การผลักดันเรื่องนี้ยังคงดําเนินต่อไป
โดย FDIC มีคณะกรรมการ 5 คน และในปัจจุบันมี Travis Hill สมาชิกจากพรรครีพับลิกันทําหน้าที่เป็นประธานชั่วคราว ส่วน Michael Hsu ซึ่งเป็นบุคคลที่ Biden แต่งตั้งยังคงดํารงตําแหน่งหัวหน้าของ OCC แต่คาดว่า Trump จะเปลี่ยนตัวเขาในเร็ว ๆ นี้ ขณะที่การเปลี่ยนแปลงที่ Federal Reserve อาจล่าช้าที่สุด เนื่องจาก Jerome Powell ซึ่งเป็นประธานยังมีวาระดํารงตําแหน่งจนถึงปี 2026
สรุปได้ว่า Bitcoin กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่สำคัญ เมื่อธนาคารและตัวทรัมป์เองเคยพยายามจำกัดการเติบโตของคริปโต แต่ขณะนี้ Donald Trump กลับแสดงท่าทีที่เปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของ Bitcoin และบทบาทของมันในระบบการเงินโลก






