วิธีการเลือกใช้งาน Crypto Wallet — เลือกอย่างไรให้โดนใจและคุ้มค่า!

Anuchit Laemsing
| 38 min read
Cryptonews ได้รายงานข่าวในวงการคริปโตเคอเรนซีมานานกว่า 10 ปี ทีมงานที่เชี่ยวชาญของเรามุ่งเน้นการวิเคราะห์ตลาด เทคโนโลยีบล็อกเชน และการรายงานอย่างถูกต้องและสมดุล ครอบคลุมคริปโต บล็อกเชน และการพัฒนาในอุตสาหกรรม เรามุ่งมั่นในการให้ความโปร่งใสกับผู้อ่าน เนื้อหาบางส่วนอาจมี Affiliate Links ซึ่งเราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่น หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มโปรดอ่านรายละเอียดในเพจ Affiliate Disclosure

วิธีการเลือกใช้งาน Crypto Wallet — เลือกอย่างไรให้โดนใจและคุ้มค่า!

กระเป๋าเงินคริปโต หรือ Crypto Wallet คือสิ่งที่ใช้เพื่อเก็บ Private Keys ที่ใช้ควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลของคุณบนบล็อกเชน โดยส่วนใหญ่ กระเป๋าเงินเหล่านี้จะอยู่ในรูปแบบของแอปพลิเคชัน เช่น ส่วนขยายของเบราว์เซอร์หรือแอปมือถือ

อย่างไรก็ตาม Hardware Wallet (กระเป๋าเงินในรูปแบบอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์) ก็เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า แม้จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงก็ตาม ในบทความนี้ เราจะมาทบทวนสิ่งที่ต้องพิจารณาและวิธีเลือก Crypto Wallet ที่ตรงกับความต้องการของคุณ

โดยทั่วไปแล้ว แพลตฟอร์มเทรดคริปโตจะมี Custodial Wallets (กระเป๋าเงินที่ดูแลโดยผู้ให้บริการ) ที่ใช้สำหรับเก็บเหรียญคริปโตของคุณหลังจากที่คุณซื้อ ขาย หรือเทรด โดยแพลตฟอร์มจะเป็นผู้ถือ Private Keys ของกระเป๋าเงินดังกล่าวเอาไว้

ถึงแม้ว่าจะใช้งานได้สะดวก แต่แพลตฟอร์มเหล่านี้ก็มีประวัติที่ไม่ค่อยดีนัก ทั้งการถูกบุกรุก แฮ็ก และล็อกบัญชีที่ทำให้เข้าถึงไม่ได้ หนึ่งในคำกล่าวของวงการคริปโตที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้องก็คือ “ไม่ใช่คีย์ของคุณ ก็ไม่ใช่เหรียญของคุณ”

ดังนั้น เรามาเรียนรู้วิธีเลือก Crypto Wallet ที่จะปกป้อง Private Keys ของคุณและให้คุณท่องโลกคริปโตได้อย่างปลอดภัยกันดีกว่า

Crypto Wallet อันไหนดีที่เราสามารถเลือกใช้งานได้


วิธีที่คุณต้องการใช้งานคริปโตและจำนวนคริปโตที่คุณถือครองมักจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกประเภทของกระเป๋าเงินแบบ Hot Wallet (กระเป๋าเงินแบบที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตอยู่เกือบจะตลอดเวลา) ทำให้การโต้ตอบกับแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps) เป็นเรื่องง่าย แต่กระเป๋าเงินประเภทนี้จะเก็บ Private Keys ไว้ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ส่วน Cold Wallet (กระเป๋าเงินที่ไม่มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต) เก็บ Private Keys ไว้แบบออฟไลน์

อุปกรณ์ที่คุณจะใช้กับกระเป๋า Crypto Wallet ก็มีบทบาทเช่นกัน ตัวอย่างเช่น กระเป๋าเงินบนมือถือบางตัวรองรับ iOS แต่ไม่รองรับ Android กระเป๋าเงินอื่นๆ รวมถึง Hardware Wallet อาจจะรองรับ Windows และ macOS แต่ไม่รองรับ Linux ในขณะที่ Crypto Wallet บางตัวก็มีให้ใช้งานเฉพาะในรูปแบบส่วนขยายของเบราว์เซอร์เท่านั้น ซึ่งทำให้ใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการเดสก์ท็อปทุกตัว แต่ก็ก่อให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัยบางประการ

อีกเรื่องหนึ่งที่คุณควรพิจารณาก็คือการควบคุม Public Key และ Private Key กระเป๋าเงินของแพลตฟอร์มเทรดนั้นจะเป็นแบบ Custodial หมายความว่าแพลตฟอร์มเป็นผู้ถือคีย์ ในขณะที่ Non-Custodial Wallet จะให้ผู้ใช้งานเป็นผู้ควบคุมคีย์ด้วยตนเอง

จากประวัติในอดีต มีการขโมยคริปโตมูลค่าสูงถึง 1.38 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 โดยมี Seed Phrases และ Private Keys ที่ถูกละเมิดเป็นช่องทางการโจมตีที่พบบ่อยที่สุด ตัวเลขนี้อาจจะต่ำกว่าความเป็นจริงเนื่องจากธรรมชาติของคริปโตที่ไม่มีการควบคุม

ต่อไป เราลองมาพิจารณาตัวเลือก Crypto Wallet ที่ดีที่สุดในปัจจุบันกันอย่างละเอียด โดยเริ่มจากการเปรียบเทียบ Hot Wallet vs. Cold Wallet

Hot Wallet vs Cold Wallet

ก่อนอื่น มาคุยเรื่อง Hot Wallet กับ Cold Wallet กันก่อนดีกว่า ความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 แบบอยู่ที่ว่า Private Keys ถูกสร้างและเก็บไว้บนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตหรือไม่ ใครก็ตามที่เข้าถึง Private Keys ได้จะสามารถควบคุมสินทรัพย์คริปโตของคุณบนบล็อกเชนได้ อุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอาจจะสร้างความเสี่ยงได้

Hot Wallet

Hot Crypto Wallet คือแอปหรือส่วนขยายของเบราว์เซอร์ที่สร้างและเก็บ Private Keys ของกระเป๋าเงินไว้บนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ความกังวลที่เห็นได้ชัดคือการแฮ็กและข้อบกพร่องที่อาจจะถูกเปิดเผย Private Keys ของคุณ

อย่างไรก็ตาม แอปเหล่านี้ใช้งานง่ายกว่าและมีฟังก์ชันบางอย่างที่อาจจะไม่มีใน Cold Wallet เช่น การเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ที่ไม่ยุ่งยาก

Cold Wallet

Cold Crypto Wallet คือกระเป๋าเงินที่จะสร้างและเก็บ Private Keys ของคุณไว้ในแบบออฟไลน์ ในกรณีส่วนใหญ่ Cold Wallet หมายถึงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์มือถือเมื่อคุณต้องการเข้าถึงคริปโตหรืออนุมัติธุรกรรม

เมื่อไม่ได้เชื่อมต่ออุปกรณ์ จะไม่สามารถอนุมัติธุรกรรมได้ ในแง่นี้ Hardware Wallet ทำหน้าที่เหมือนการยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้น โดยปฏิเสธธุรกรรมที่คุณไม่ได้อนุมัติบนอุปกรณ์ที่คุณควบคุมทางกายภาพ

Hot Wallet หลายตัวจะรองรับการทำงานกับ Hardware Wallet บางรุ่น เช่น กระเป๋าเงิน Ledger Nano X การใช้กระเป๋าเงินร่วมกันแบบนี้จะช่วยให้คุณเชื่อมต่ออุปกรณ์จริงกับ dApps ได้ ในขณะที่รักษาความปลอดภัยของ Private Keys ที่ควบคุมคริปโตของคุณบนอุปกรณ์แยกต่างหาก

Desktop Wallet vs Mobile Wallet

การท่องโลกคริปโตบนกระเป๋าเงินเดสก์ท็อป (Desktop Wallet) ทำได้ง่ายกว่าบนกระเป๋าเงินมือถือ (Mobile Wallet) อย่างไรก็ตาม Crypto Wallet ชั้นนำหลายตัวรองรับทั้ง 2 แพลตฟอร์ม ทำให้คุณจัดการคริปโตได้ทั้งที่บ้านและระหว่างเดินทาง

วิธีการเลือกใช้งาน Crypto Wallet — เลือกอย่างไรให้โดนใจและคุ้มค่า!

กระเป๋าเงินเดสก์ท็อปมีทั้งในรูปแบบแอปที่ทำงานแยกและ (ส่วนใหญ่) ส่วนขยายของเบราว์เซอร์ โดยทั่วไป Hardware Wallet ก็รองรับเดสก์ท็อปได้ดีกว่าด้วย

กระเป๋าเงินมือถือสำหรับ Android หรือ iOS เป็นแอปมือถือ หลายตัวให้เข้าถึง dApps ที่เลือกได้ซึ่งสร้างมาในอินเทอร์เฟซ อย่างไรก็ตาม การเชื่อมต่อกับแอปที่ทำงานในแอปเบราว์เซอร์แยกอาจทำได้ยากในบางกรณี

กระเป๋าเงินเดสก์ท็อปและมือถือส่วนใหญ่รองรับฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การส่ง การรับ และการแลกเปลี่ยนคริปโต อย่างไรก็ตาม กระเป๋าเงินเดสก์ท็อปมักจะใช้งานได้ง่ายกว่าสำหรับการโต้ตอบที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การใช้งานแอปพลิเคชัน DeFi

Best Wallet เป็นกระเป๋าคริปโตที่ดีที่สุดเพราะพร้อมให้บริการผ่านเดกส์ท็อปและแอปพลิเคชันที่รองรับทั้งระบบ Android และ iOS รองรับเหรียญจากบล็อกเชนมากกว่า 60 เครือข่าย สามารถ Swap เหรียญได้ผ่านแอป การเข้าถึงเหรียญรอบพรีเซล และคุณสมบัติดี ๆ อีกหลายประการ

ดาวน์โหลด Best WalletGoogle Play

หรือ

ดาวน์โหลด Best WalletApp Store

Custodial vs Non-Custodial

กระเป๋าเงินแบบ Custodial กับ Non-Custodial แตกต่างกันในเรื่องบุคคลที่ 3 เป็นผู้ควบคุม Private Keys หรือคุณเป็นผู้ควบคุมเอง ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีบัญชีเทรดกับแพลตฟอร์มเทรดคริปโตอย่าง Coinbase แพลตฟอร์มจะถือคีย์ของ Custodial Wallet ไว้ในนามของคุณ

Custodial Wallet

สำหรับ Custodial Wallet คุณเข้าถึงเงินในกระเป๋าโดยการล็อกอินเข้าแพลตฟอร์มและใช้คริปโตที่คุณถือไว้ที่นั่นเพื่อเทรด แต่คุณไม่มีสิทธิ์เข้าถึง Private Keys

ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณดาวน์โหลด Crypto Wallet และถอนคริปโตของคุณจากแพลตฟอร์มไปยังกระเป๋าเงินใหม่ของคุณ คุณจะเป็นผู้ที่ควบคุม Private Keys ของกระเป๋าเงินใหม่

Custodial Wallet มีความเสี่ยงต่อการถูกบุกรุกที่สูงกว่า เช่น มีคนเข้าถึงบัญชีแพลตฟอร์มของคุณได้ ในบางกรณี แพลตฟอร์มก็อาจระงับบัญชี ปิดกั้นการเข้าถึงบัญชีของคุณหรือความสามารถในการถอน

ในทางกลับกัน Custodial Crypto Wallet ที่แพลตฟอร์มจัดหาให้เป็นวิธีที่สะดวกที่สุดถ้าคุณจะทำการเทรดเท่านั้นและไม่ได้เก็บเงินไว้ในแพลตฟอร์มเป็นจำนวนมาก

Non-Custodial Wallet

ในทางตรงกันข้าม Non-Custodial Crypto Wallet คือกระเป๋าเงินอนุญาตให้คุณเท่านั้นที่ควบคุม Private Keys ของกระเป๋าเงินได้ ในกรณีส่วนใหญ่ ทำได้โดยใช้ Seed Phrases 12 หรือ 24 คำที่สร้าง Private Keys ของกระเป๋าเงินผ่านการเข้ารหัส

อย่างไรก็ตาม นี่ทำให้คุณต้องรับผิดชอบในการรักษา Seed Phrases (และ Private Keys) ของกระเป๋าเงินของคุณให้ดี ถ้าคุณสูญเสียการเข้าถึง Seed Phrases คุณจะไม่สามารถเข้าถึงคริปโตของคุณได้ นอกจากนี้ ถ้าคนอื่นได้ Seed Phrases หรือ Private Keys ของคุณไป พวกเขาก็สามารถเข้าถึงคริปโตของคุณได้

5 คำถามที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกใช้งานกระเป๋าเงินคริปโต


ต่อไป เรามาดูปัจจัยสำคัญต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณเลือกใช้งาน Crypto Wallet ที่ดีที่สุดได้ตรงตามที่คุณต้องการ นี่คือคำถามที่คุณจะต้องตอบตัวเอง เพื่อที่จะสามารถคัดกรองกระเป๋าเงินที่เหมาะกับคุณได้อย่างแม่นยำ

1) การรองรับเครือข่าย: คุณต้องใช้บล็อกเชนไหน?

ประเภทของกระเป๋าเงินที่คุณเลือกอาจจะขึ้นอยู่กับคริปโตเคอเรนซีที่คุณต้องการใช้ ตัวอย่างเช่น คุณไม่สามารถส่ง Ether (ETH) ไปยัง Bitcoin wallet ได้ แต่ละ Blockchain เป็นเหมือนเกาะที่แยกจากกันในแง่นี้

ถ้าคุณต้องการใช้บล็อกเชน Ethereum คุณจะต้องมีกระเป๋าเงินที่รองรับเชน Ethereum เช่นเดียวกันกับ Bitcoin, Solana, Sui และเชนอื่นๆ อีกมากมาย

อย่างไรก็ตาม Non-Custodial Wallet ที่ผ่านการทดสอบมาแล้วหลายตัวรองรับคริปโตเคอเรนซีมากกว่าหนึ่งประเภท

2) คุณต้องการใช้กระเป๋าเงินเพื่ออะไร?

พิจารณาว่าคุณจะใช้คริปโตของคุณอย่างไร การเก็บรักษาอย่างง่ายหรือการส่งและรับที่ไม่ต้องการฟีเจอร์พิเศษใดๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณวางแผนจะใช้คริปโตของคุณสำหรับกิจกรรมบนเชน เช่น decentralized finance (DeFi) คุณจะต้องการ Crypto Wallet ที่ได้รับการรองรับเป็นอย่างดีจากโปรโตคอลที่คุณต้องใช้งาน

ตัวอย่างเช่น Aave ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มการให้กู้และยืมชั้นนำ รองรับกระเป๋าเงินแบบส่วนขยายของเบราว์เซอร์หลายตัว รวมถึง Torus ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินที่ใช้การล็อกอินผ่านโซเชียลเพื่อรักษาความปลอดภัยของ Private Keys ของคุณ

3) Custodial หรือ Non-Custodial: คุณต้องการควบคุม Private Key หรือไม่?

ตามที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ Custodial Crypto Wallet คือกระเป๋าเงินที่บุคคลที่ 3 เช่น แพลตฟอร์มเทรดคริปโต เป็นผู้ควบคุม Private Key ซึ่งทำให้การเริ่มต้นใช้งานแพลตฟอร์มง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากความกังวลด้านความปลอดภัยแล้ว กระเป๋าเงินแบบนี้ยังจำกัดวิธีที่คุณสามารถใช้คริปโตของคุณด้วย เพราะแพลตฟอร์มมักจะจำกัดสิ่งที่คุณสามารถทำได้กับเงินที่เก็บไว้ใน Custodial Wallet

ดังนั้น ถ้าคุณคาดว่าจะใช้งานนอกแพลตฟอร์ม Non-Custodial Wallet จะช่วยให้คุณมีตัวเลือกการใช้งานที่มากกว่า

4) ความปลอดภัย: คุณต้องการฟีเจอร์อะไรบ้าง?

หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ วิธีการเลือกใช้งานกระเป๋าเงินอย่างปลอดภัย กระเป๋าเงินบางตัวรองรับฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูง เช่น การยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกหรือแม้แต่เทคโนโลยี Air-Gapped ซึ่งกำจัดความจำเป็นในการเชื่อมต่อกระเป๋าเงินของคุณกับอุปกรณ์ใดๆ

เมื่ออนุมัติธุรกรรม กระเป๋าเงินบางตัวยังให้คำเตือนก่อนเชื่อมต่อกับการหลอกลวงที่เป็นที่รู้จักหรือแอปพลิเคชันที่ไม่ปลอดภัย หลายตัวยังให้คำเตือนก่อนซื้อโทเค็นหลอกลวงด้วย

5) ค่าใช้จ่าย: คุณต้องการกระเป๋าเงินฟรีหรือพรีเมียม?

แม้ว่าแอปกระเป๋าเงินฟรีจะมีฟีเจอร์ครบถ้วน แต่การใช้งานในบางกรณีอาจจะทำให้การลงทุนใน Crypto Wallet แบบพรีเมียมคุ้มค่า ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ นี่หมายถึงการซื้อ Hardware Wallet ที่เก็บ Private Keys ของคุณแบบออฟไลน์ ขึ้นอยู่กับกระเป๋าเงินที่คุณซื้อและฟีเจอร์ที่คุณต้องการ คาดว่าจะต้องลงทุน 50 ถึงมากกว่า 500 ดอลลาร์ แต่ Hardware Wallet ระดับเริ่มต้นก็น่าจะตอบสนองความต้องการของมือใหม่ส่วนใหญ่ได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม Hot Wallet ที่ผ่านการทดสอบมาอย่างดีสามารถให้ความปลอดภัยที่สมเหตุสมผลสำหรับการเก็บคริปโตจำนวนน้อย และส่วนใหญ่ใช้งานฟรี ในส่วนต่อไป เราจะพูดถึงวิธีใช้ Hot Wallet ร่วมกับ Cold Wallet เพื่อให้ได้ข้อดีของกระเป๋าเงินทั้ง 2 ประเภท

1) คุณจำเป็นต้องใช้เครือข่ายใด?


เครือข่ายคริปโตที่คุณจำเป็นต้องใช้จะมีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้งาน Crypto Wallet ยอดนิยมหลายอันรองรับหลายเครือข่าย อย่างไรก็ตาม สำหรับงานบางอย่าง คุณอาจจะต้องการใช้กระเป๋าเงินแบบเฉพาะทางที่รองรับเพียงบล็อกเชนเดียวหรือกลุ่มเชนที่คล้ายกัน เช่น เครือข่ายที่เข้ากันได้กับ EVM คำว่า EVM ย่อมาจาก Ethereum Virtual Machine ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อม Smart Contract ที่ใช้โดยบล็อกเชนหลายสิบแห่ง

กระเป๋าเงินยอดนิยมและเครือข่ายที่รองรับ

ก่อนอื่น มาเปรียบเทียบกระเป๋าเงินชั้นนำบางส่วนเพื่อดูว่าปัจจุบันรองรับเชนใดบ้าง โปรดทราบว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา ตัวอย่างเช่น Phantom ซึ่งเป็นกระเป๋าเงิน Solana ยอดนิยม เพิ่งเพิ่มการรองรับเชน EVM เมื่อไม่นานมานี้ อย่างไรก็ตาม Coinbase Wallet ได้หยุดการรองรับ 4 เชนในปี 2023

ที่น่าสังเกตคือ แม้ว่ากระเป๋าเงินบางใบอาจจะรองรับการเก็บและการส่งหรือรับสกุลเงินดิจิทัลโดยเฉพาะ แต่การรองรับกิจกรรมเพิ่มเติมบนเชนอาจจะมีจำกัด ควรศึกษากระเป๋าเงินที่คุณสนใจเพื่อดูความเข้ากันได้กับโปรโตคอลที่คุณคาดว่าจะใช้ ในบางกรณี การรองรับเชนจะต้อง “เปิดใช้งาน” และอาจจะไม่เห็นได้ในทันที

กระเป๋าเงิน Bitcoin (BTC) Ethereum (ETH) Ripple (XRP) Solana (SOL) BSC (BNB) Dogecoin (DOGE) Cardano (ADA) Tron (TRON) Avalanche (AVAX)
MetaMask 🗶 🗶 🗶 🗶 🗶 🗶
Trust Wallet
Ledger Nano S Plus
Trezor Model One 🗶 🗶 🗶 🗶 🗶
Exodus
Coinbase Wallet 🗶 🗶 🗶 🗶
Atomic Wallet
Best Wallet 🗶 🗶 🗶 🗶 🗶 🗶 🗶
Rabby 🗶 🗶 🗶 🗶 🗶 🗶

การตัดสินใจระหว่าง กระเป๋าเงินแบบมัลติเชน หรือ กระเป๋าเงินแบบเฉพาะทาง

เหมือนกับชื่อของมัน กระเป๋าเงินแบบมัลติเชน (Multi-chain Wallet) จะรองรับหลายบล็อกเชน ในตารางจากส่วนก่อนหน้า กระเป๋าเงิน 4 แบบรองรับบล็อกเชนทั้งหมดที่เราตรวจสอบ ส่วนกระเป๋าเงินแบบเฉพาะทางรองรับบล็อกเชนเดียวหรือกลุ่มบล็อกเชนที่คล้ายกัน ตัวอย่างเช่น MetaMask และ Rabby ต่างก็รองรับบล็อกเชนที่เข้ากันได้กับ EVM หลายสิบเชน อย่างไรก็ตาม กระเป๋าเงินทั้ง 2 ไม่รองรับ BTC, XRP, Dogecoin หรือ Cardano

แม้ว่ากระเป๋าเงินแบบเฉพาะทางจะไม่ได้เสนอการรองรับบล็อกเชนอย่างกว้างขวาง แต่มักจะเก่งในงานเฉพาะด้าน ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการใช้คริปโตของคุณในแอปพลิเคชัน DeFi บนเชน EVM กระเป๋าเงินแบบเฉพาะทางอย่าง MetaMask หรือ Rabby จะทำให้การใช้งานง่ายขึ้นมาก กระเป๋าเงินแบบมัลติเชนเป็นการแลกเปลี่ยนในด้านการใช้งาน ในหลายๆ กรณี การรองรับเชนมากขึ้นมีแต่จะเพิ่มความซับซ้อนในการเข้าถึง Web3

ในทำนองเดียวกัน กระเป๋าเงินแบบเฉพาะทางอาจจะมีฟีเจอร์เพิ่มเติมเฉพาะสำหรับบล็อกเชนที่คุณใช้งาน ตัวอย่างเช่น การใช้ Bitcoin อย่างมีประสิทธิภาพอาจจะต้องมีการจัดการ Unspent Transaction Outputs (UTXOs) เป็นครั้งคราว Bitcoin Wallet แบบเฉพาะทางอย่าง Sparrow และ Electrum รองรับการปรับแต่ง UTXO กระเป๋าเงินแบบมัลติเชนมักไม่รองรับฟีเจอร์นี้ ทำให้มีค่าธรรมเนียมธุรกรรมสูงขึ้น

ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวยังสามารถแยกความแตกต่างระหว่างกระเป๋าเงินแบบเฉพาะทางกับกระเป๋าเงินแบบหลายเชนได้ ตัวอย่างเช่น Sparrow (รองรับเฉพาะ Bitcoin เท่านั้น) รองรับการเชื่อมต่อกับโหนด Bitcoin ผ่าน The Onion Router (TOR) ซึ่งเพิ่มความเป็นส่วนตัวโดยการซ่อน IP ที่แท้จริงของคุณ

เมื่อไหร่ควรเลือกกระเป๋าเงินแบบมัลติเชน

วิธีการเลือกใช้งาน Crypto Wallet — เลือกอย่างไรให้โดนใจและคุ้มค่า

กระเป๋าเงินแบบมัลติเชนมีข้อดีหลายประการ ส่วนใหญ่เน้นที่ความสะดวกและความเรียบง่าย มาดูสถานการณ์ที่คุณอาจจะต้องการเลือกกระเป๋าเงินแบบมัลติเชนแทนกระเป๋าเงิน Crypto Wallet แบบเฉพาะทาง

ตัวอย่าง: Best Wallet, Atomic Wallet และ Exodus

  • คุณต้องการถือคริปโตหลายประเภท หากคุณต้องการใช้คริปโตเพื่อถือ หรือรับส่งเป็นครั้งคราว ความเรียบง่ายของกระเป๋าเงินแบบมัลติเชนทำให้การทำธุรกรรมกับสินทรัพย์คริปโตหลายประเภทเป็นเรื่องง่าย
  • การแลกเปลี่ยนภายในกระเป๋าเงินเป็นสิ่งสำคัญ กระเป๋าเงินแบบมัลติเชนหลายใบช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแลกเปลี่ยนจากสินทรัพย์คริปโตหนึ่งเป็นอีกสินทรัพย์หนึ่งในโดยไม่ต้องเข้าตลาดแลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น Trust Wallet รองรับการแลกเปลี่ยนข้ามเชน
  • คุณไม่ต้องการจัดการหลาย Seed Phrases โดยทั่วไปแล้ว กระเป๋าเงินแต่ละอันที่คุณใช้สำหรับเชนเฉพาะจะมี Seed Phrase ของตัวเอง ถ้าคุณถือคริปโตสิบสกุล นั่นอาจจะหมายถึงการต้องเก็บรักษา Seed Phrases แยกกันถึงสิบอัน กระเป๋าเงินแบบมัลติเชนทำงานนี้ได้ด้วย Seed Phrase เดียว

เมื่อไหร่ที่ควรเลือก Crypto Wallet แบบเฉพาะทาง

กระเป๋าเงิน rabby
กระเป๋าเงินแบบเฉพาะทางจะเก่งในการใช้งานที่เฉพาะเจาะจง เช่น การโต้ตอบกับโปรโตคอล Smart Contract การเทรดบน Decentralized Exchanges (DEXs) หรือ การจัดการ UTXOs สำหรับเชนอย่าง Bitcoin มาดูกรณีการใช้งานที่กระเป๋าเงินแบบเฉพาะทางที่อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ากันเลย

ตัวอย่าง: MetaMask, Rabby, Phantom, Solflare, Sparrow, Electrum

  • รองรับการเชื่อมต่อกับ Hardware Wallet ได้ดีกว่า
    ทำให้คุณสามารถเก็บเงิน Crypto จำนวนมากได้อย่างปลอดภัย และยังใช้งานได้สะดวก
  • ทำงานกับ Smart Contract ได้ดี
    เช่น MetaMask และ Rabby ใช้งานบนเครือข่าย EVM ได้ง่าย หรืออย่าง Phantom Wallet กับ Solflare ก็ทำงานร่วมกับแอป dApps บน Solana ได้ดี โดยเฉพาะเรื่องการ Staking
  • มีความปลอดภัยสูงกว่า
    เพราะทีมพัฒนาจะโฟกัสที่เชนเดียวหรือกลุ่มเชนที่คล้ายกัน ทำให้แก้ปัญหาความปลอดภัยได้ตรงจุดมากกว่า
  • มีชุมชนคอยช่วยเหลือ
    กระเป๋าเงินเฉพาะทางอย่าง Sparrow และ Electrum มีชุมชนผู้ใช้ที่มีความรู้คอยช่วยเหลือ ถ้าคุณต้องการทำอะไรที่ซับซ้อน มักจะหาคำตอบได้จากกระดานสนทนา ต่างจากกระเป๋าเงินแบบหลายเชนที่อาจไม่รองรับฟีเจอร์ขั้นสูงของแต่ละเชน

2) คุณจะใช้กระเป๋าเงินทำอะไร?


ปัจจุบันมูลค่ารวมกว่าครึ่งหนึ่งของคริปโตทั้งหมดอยู่ในบล็อกเชน Ethereum ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบการลงทุนระยะยาว เช่น การ Staking แต่ก็มีบางส่วนที่ใช้ในการทำธุรกรรมระยะสั้น เช่น การปล่อยกู้ หรือเทรดเหรียญมีมยอดนิยมที่ต้องการความรวดเร็วในการทำธุรกรรม

ดังนั้น ถ้าคุณถือคริปโตในระยะยาว เราขอแนะนำให้ใช้ Cold Wallet แต่ถ้าต้องทำธุรกรรมบ่อยๆ ควรใช้ Hot Wallet มาดูรายละเอียดของกระเป๋าเงินทั้ง 2 แบบกันดีกว่า เพื่อเลือกให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ

หัวข้อหลัก Hot Wallets Cold Wallets
ความปลอดภัยของ Seed Phrase Hot Wallets สร้างและเก็บ Private keys ไว้ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต Cold Wallets สร้างและเก็บ Private keys ไว้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อออนไลน์
ความถี่ในการเข้าถึง Hot Wallets เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการเข้าถึงคริปโตบ่อยๆ Cold Wallets มีขั้นตอนเพิ่มเติมในการเข้าถึงคริปโต จึงเหมาะกับการเก็บระยะยาวหรือเก็บเงินจำนวนมาก
ความสะดวกสบาย Hot Wallets ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและมี UI ที่เป็นมิตรกับมือใหม่ Hardware Wallets มักจะมาพร้อมแอปที่ใช้งานง่าย แต่ยังต้องมีขั้นตอนเพิ่มเติมในการทำธุรกรรม
การเชื่อมต่อกับ dApp ผู้ใช้งาน DeFi และ dApp จะได้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อที่ดีกว่าของ Hot Wallets แม้ว่าซอฟต์แวร์ของ Cold Wallet อาจมีแอปในตัว แต่การเชื่อมต่อกับแอปภายนอกอาจจะไม่สามารถทำได้โดยไม่ใช้ Hot Wallet เพิ่มเติม
การใช้งานทั่วไป Hot Wallets เหมาะสำหรับการเทรดรายวัน โต้ตอบกับ dApps และการซื้อสินค้าในชีวิตจริง Cold Wallets ให้พื้นที่จัดเก็บที่ปลอดภัยสำหรับการถือระยะยาวหรือคริปโตจำนวนมาก

ต่อไป มาดูคำถามที่จะช่วยคุณเลือก Crypto Wallet ที่เหมาะสม

A) คุณจะเทรดบ่อยๆ หรือ ถือระยะยาว?

ถ้าคุณตั้งใจจะซื้อและถือในระยะยาว Cold Wallet จะปลอดภัยกว่า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้แค่ Cold Wallet เท่านั้น Hardware Wallet ชั้นนำอย่าง Ledger และ Trezor สามารถทำงานร่วมกับกระเป๋าเงินเฉพาะทางอย่าง MetaMask หรือ Electrum ได้

เราจะอธิบายกลยุทธ์การใช้ Hot Wallet และ Cold Wallet ร่วมกันในรายละเอียดต่อไป ถ้าคุณคาดว่าจะใช้คริปโตบ่อยๆ และมีมูลค่าไม่สูงมาก Hot Wallet จะสะดวกกว่า

B) คุณให้ความสำคัญกับความปลอดภัยหรือความสะดวกมากกว่ากัน?

การพิจารณานี้ขึ้นอยู่กับมูลค่าเหรียญของคุณเป็นส่วนใหญ่ ถ้าคุณมีเงินมากที่ต้องปกป้อง การลงทุนใน Cold Wallet ที่ป้องกันภัยคุกคามออนไลน์โดยเก็บ Private Keys แบบออฟไลน์อาจจะฉลาดกว่า และคุณยังสามารถจับคู่การเก็บแบบ Cold Storage กับ Hot Wallets ที่รองรับได้

อย่างไรก็ตาม Hot Wallets สะดวกกว่า Cold Wallets มาก ส่วนใหญ่แค่ใส่รหัสผ่านหรือสแกนลายนิ้วมือก็สามารถเทรดหรือทำธุรกรรมได้แล้ว ในทางตรงกันข้าม การใช้ Cold Wallet ต้องเชื่อมต่อมัน (หรือส่ง QR Code ถ้าใช้กระเป๋าเงินแบบ Air-Gapped) ความน่าตื่นเต้นแบบสายลับอาจไม่คงอยู่ถ้าคุณให้ความสำคัญกับความสะดวก แต่ถ้าคุณให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากกว่า Cold Wallet เป็นตัวเลือกที่ชัดเจน

C) คุณวางแผนจะถือคริปโตเล็กน้อยหรือจำนวนมาก?

นอกเหนือจากความสะดวกแล้ว Cold Wallet ให้ตัวเลือกการเก็บที่ปลอดภัยกว่ามากถ้าคุณวางแผนจะถือคริปโตจำนวนมาก เปรียบเหมือนถ้าคุณออกไปหลังบ้านแป๊บเดียว คุณอาจไม่ล็อคบ้าน แต่ถ้าคุณจะไปสักสัปดาห์ คุณจะล็อคประตูหน้าต่าง ตั้งสัญญาณกันขโมย และตั้งเวลาไฟ การตัดสินใจจัดการความเสี่ยงขึ้นอยู่กับระดับการเปิดรับความเสี่ยง

พิจารณาจากจุดนี้ จำนวนคริปโตที่เสี่ยงอาจจะไม่คุ้มค่ากับต้นทุนและความสะดวกที่เสียไปจากการใช้ Hardware Wallet

D) คุณต้องการเข้าถึง DEX และ dApp หรือไม่?

แอปพลิเคชันกระจายศูนย์ รวมถึง DeFi และเกม Web3 เป็นหนึ่งในการใช้งานบล็อกเชนที่ได้รับความนิยม อย่างไรก็ตาม คุณอาจต้องใช้ Web3 Wallet เพื่อใช้แอปพลิเคชันเหล่านี้ ผู้ถือคริปโตบางคนเก็บคริปโตจำนวนเล็กน้อยไว้ใน Hot Wallet เพื่อเข้าถึง DEX และแพลตฟอร์ม DeFi ได้ง่าย ในขณะที่ใช้ Cold Wallet เก็บจำนวนที่มากกว่า การจับคู่ Hot Wallet กับ Cold Wallet ช่วยให้คุณใช้คริปโตจำนวนมากในการเทรดบน Smart Contract ในขณะที่ยังปกป้อง Private Keys แบบออฟไลน์

3) คุณต้องการควบคุม Private Keys ของคุณเองหรือไม่?


Crypto Wallet App และ Cold Wallets เกือบทั้งหมดให้คุณควบคุม Private Keys เอง มีบางส่วนที่ใช้วิธีแก้ปัญหาเช่นการล็อกอินผ่านโซเชียลเพื่อลดความซับซ้อนของ Crypto Wallet ในทางกลับกัน Custodial Wallet เช่นที่มีให้ใช้งานผ่านตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตจะไม่ให้ผู้ใช้งานควบคุม Private Keys แต่จะให้คุณเข้าถึงเงินของคุณผ่านการล็อกอินเข้าแพลตฟอร์ม

มาทบทวนประเภทของกระเป๋าเงินกันอีกครั้ง เพราะแต่ละประเภทมีความแตกต่างในเรื่องของผู้ที่ควบคุม Private Keys

  • Non-Custodial Wallets: สำหรับ Non-Custodial Wallets หรือบางครั้งจะเรียกกันว่า “กระเป๋าเงินแบบดูแลด้วยตนเอง” คุณจะเป็นผู้ควบคุม Private Key ด้วยตัวเอง แม้ว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะไม่เคยเห็น Private Key แต่มันถูกสร้างขึ้นมาจาก Seed Phrases หรือที่เรียกว่า “วลีกู้คืน” ผู้ใช้งานมีหน้าที่รับผิดชอบในการเก็บรักษา Seed Phrases ให้ปลอดภัย
  • Custodial Wallets: สำหรับ Custodial Wallet บุคคลที่ 3 จะเป็นผู้ควบคุม Private Key ผู้ใช้งานจะไม่เห็น Seed Phrases หรือ Private Key แต่จะล็อกอินเข้าสู่แพลตฟอร์มเพื่อดำเนินการต่างๆ กับบัญชีของตน รวมถึงการเทรด การถอน หรือการส่งและรับ

เมื่อไหร่ที่ควรเลือกใช้ Non-Custodial Wallet (การควบคุม Private Key)

ผู้ใช้งานหลายคนเลือกที่จะถอนคริปโตของตนออกจากตลาดแลกเปลี่ยนไปยัง Non-Custodial Wallet เมื่อเสร็จสิ้นการเทรดหรือหลังจากการซื้อ เหตุผลหลักมักเกี่ยวข้องกับการรักษาการควบคุมคริปโตของตน

อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้ยังช่วยให้คุณสามารถใช้คริปโตของคุณในรูปแบบอื่นๆ เช่น การใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือการใช้แอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์

กระเป๋าเงินในตลาดแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่ไม่เคยประสบปัญหา แต่มีความเสี่ยงหลายประการที่เกิดจากการใช้ Custodial Wallet

การระงับการถอน: ในช่วงการล่มสลายของ FTX ในปี 2022 ตลาดแลกเปลี่ยน FTX ได้หยุดการถอนเงิน ลูกค้าไม่สามารถใช้เงินของตนได้

การแฮ็กตลาดแลกเปลี่ยน: แม้ว่าตลาดแลกเปลี่ยนหลายแห่งจะลงทุนอย่างมากในมาตรการรักษาความปลอดภัยและใช้ Cold Storage สำหรับเงินทุนส่วนใหญ่บนแพลตฟอร์ม แต่การแฮ็กก็ยังเกิดขึ้นได้ หนึ่งในการแฮ็กตลาดแลกเปลี่ยนที่มีชื่อเสียงที่สุดเกิดขึ้นในปี 2011 เมื่อ Bitcoin จำนวน 647,000 เหรียญถูกขโมยไปจากตลาดแลกเปลี่ยน Mt. Gox

การล็อกบัญชี: ตลาดแลกเปลี่ยนสามารถล็อกบัญชีรายบุคคลได้โดยไม่ต้องแจ้งเตือน บางครั้งก็ไม่มีคำอธิบาย สาเหตุอาจมาจากการล็อกอินล้มเหลว การยืนยันตัวตน ธุรกรรมที่ถูกตั้งข้อสังเกต หรือการระบุแหล่งที่มาของเงินทุนสำหรับการเทรดเพื่อปฏิบัติตามกฎระเบียบ

การแก้ไขบัญชีที่ถูกล็อกอาจใช้เวลา หรืออาจไม่สามารถแก้ไขได้ เมื่อพิจารณาถึงความผันผวนของคริปโต บัญชีที่ถูกล็อกหรือถูกระงับอาจสร้างความเสียหายทางการเงินได้

การใช้ Non-Custodial Crypto Wallet ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ได้ แม้ว่าจังหวะเวลาในการถอนไปยังกระเป๋าเงินแบบดูแลด้วยตนเองจะมีความสำคัญ อย่างไรก็ตาม คุณควรใช้ Non-Custodial Wallet เฉพาะเมื่อคุณมีวิธีที่ปลอดภัยในการสำรองข้อมูล Seed Phrases แบบออฟไลน์ Seed Phrases นี้ช่วยให้คุณสามารถกู้คืนกระเป๋าเงินของคุณได้หากไม่สามารถเข้าถึงได้เนื่องจากความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์หรือสาเหตุอื่นๆ

เมื่อไหร่ที่ควรเลือกใช้ Custodial Wallet (ไม่มีการควบคุม Private Key)

ตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตและโบรกเกอร์เสนอ Non-Custodial Wallets ผู้ใช้งานจะไม่ได้รับสิทธิ์เข้าถึง Seed Phrases หรือ Private Key และการใช้งานคริปโตของคุณอาจจะถูกจำกัดเฉพาะกิจกรรมบนแพลตฟอร์มหรือการส่งและรับเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม กระเป๋าเงินประเภทนี้ใช้งานง่ายกว่ามาก คุณไม่จำเป็นต้องเก็บ Seed Phrases ไว้อย่างปลอดภัยเพราะคุณไม่มีสิทธิ์เข้าถึง แต่คุณต้องใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัยและเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้นเพื่อปกป้องเงินทุนของคุณ โปรดระวังความเสี่ยงที่กล่าวถึงในส่วนก่อนหน้านี้ รวมถึงการระงับเงินทุนและการแฮ็กตลาดแลกเปลี่ยน

หากคุณคาดว่าจะใช้คริปโตเฉพาะบนตลาดแลกเปลี่ยนเท่านั้นและใช้งานบัญชีอย่างปลอดภัย Custodial Crypto Wallet จะเป็นวิธีที่ง่ายกว่าในการเก็บคริปโตของคุณ โดยใช้การล็อกอินที่คล้ายกับการใช้บริการธนาคารออนไลน์หรือบริการชำระเงิน

4) คุณต้องการระดับความปลอดภัยแบบไหน?


Crypto Wallet มีฟีเจอร์ความปลอดภัยหลากหลาย เช่น การยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้นหรือการเก็บคีย์แบบออฟไลน์ อย่างไรก็ตาม มีความทับซ้อนกันน้อยมากระหว่างฟีเจอร์เหล่านี้กับประเภทของกระเป๋าเงิน โดยฟีเจอร์เฉพาะจะพบได้ทั่วไปใน Crypto Wallet บางประเภท ตัวอย่างเช่น กระเป๋าเงินบนมือถือหลายแห่งมีการยืนยันตัวตนด้วยระบบไบโอเมตริกซ์ แต่ฟีเจอร์นี้พบได้ไม่บ่อยนักในกระเป๋าเงินแบบฮาร์ดแวร์

โดยทั่วไปแล้ว Custodial Wallet ในตลาดแลกเปลี่ยนมีฟีเจอร์ความปลอดภัยต่ำกว่า นี่เป็นเพราะตลาดแลกเปลี่ยนเป็นผู้ถือ Private Key ของกระเป๋าเงิน และผู้ใช้งานมีความโปร่งใสน้อยในการดูแลรักษาคีย์เหล่านี้ นอกจากนี้ บัญชีที่ไม่มีการยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้นจะได้รับการป้องกันด้วยการล็อกอินเท่านั้น

ฟีเจอร์ความปลอดภัย ประโยชน์และประเภทของกระเป๋าเงิน
การยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้น (2FA) Custodial Wallet ส่วนใหญ่มีการยืนยันผ่าน SMS หรือรองรับแอปยืนยันตัวตน 2FA สามารถป้องกันผู้ใช้งานจากระยะไกลไม่ให้เข้าถึงเงินทุนของคุณได้หากการล็อกอินของคุณถูกบุกรุก
การยืนยันตัวตนด้วยระบบไบโอเมตริกซ์ แอปมือถือสำหรับตลาดแลกเปลี่ยน (Custodial) หรือแอป Non-Custodial Wallet อาจรองรับการล็อกอินด้วยลายนิ้วมือ
การสำรองข้อมูล Seed Phrase Custodial Wallet ให้คุณดูและสำรองข้อมูล Seed Phrase ของคุณ คุณสามารถใช้ Seed Phrase นี้เพื่อสร้างกระเป๋าเงินและ Private Key ของคุณขึ้นมาใหม่ได้ Non-Custodial Wallet ไม่ให้ผู้ใช้เข้าถึง Seed Phrase หรือ private key
การป้องกันการหลอกลวง Non-Custodial Wallet แบบพิเศษอย่าง Rabby มีฟีเจอร์ป้องกันการหลอกลวงและตรวจจับการฉ้อโกงที่สามารถช่วยปกป้องสินทรัพย์คริปโตของคุณจากผู้ฉ้อโกงได้
ธุรกรรมแบบ Airgapped กระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ที่รองรับ QR หรือแอปพิเศษที่ช่วยให้คุณเปลี่ยนโทรศัพท์สำรองเป็น Cold Wallet แบบ Air-gapped ช่วยให้คุณอนุมัติธุรกรรมได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น
การเก็บ Private Key แบบออฟไลน์ Cold Wallet เช่น กระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ จะเก็บ Private Key ของคุณไว้แบบออฟไลน์ ปกป้องจากภัยคุกคามออนไลน์
รองรับ Multi-Sig กระเป๋าเงินแบบ Multi-signature ต้องการการอนุมัติจาก Private Key มากกว่าหนึ่งคีย์

มาดูรายละเอียดของฟีเจอร์เหล่านี้เพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจประโยชน์และข้อจำกัดให้ดีขึ้น Crypto Wallet และฟีเจอร์ความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องมักจะอยู่ใน 1 ใน 3 หมวดหมู่: ความปลอดภัยพื้นฐาน ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น หรือความปลอดภัยสูงสุด

A) ความปลอดภัยพื้นฐาน: รหัสผ่าน 2FA และการยืนยันตัวตนด้วยระบบไบโอเมตริกซ์

กระเป๋าเงินที่มีความปลอดภัยพื้นฐานรวมถึงกระเป๋าเงินในตลาดแลกเปลี่ยน กระเป๋าเงินประเภทนี้จะถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและเข้าถึงเงินทุนได้สะดวก

ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเข้าถึงกระเป๋าเงินในตลาดแลกเปลี่ยนหลายแห่งได้ด้วยชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านเท่านั้น ฟีเจอร์อย่างการยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้นอาจจะเป็นทางเลือกและอาจรวมถึงการยืนยันตัวตนผ่าน SMS ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยน้อยกว่า

  • รหัสผ่าน: กระเป๋าเงินที่มีความปลอดภัยพื้นฐานใช้การรวมกันของชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านเป็นชั้นความปลอดภัยแรก การรั่วไหลของข้อมูลหรือการใช้ชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านเดียวกันบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ สามารถทำให้เงินทุนมีความเสี่ยงได้
  • การยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้น: การยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้น (2FA) ต้องการให้ผู้ใช้งานอนุมัติการล็อกอินบนอุปกรณ์ที่พวกเขาควบคุม การยืนยันผ่าน SMS มีความเสี่ยงต่อการหลอกลวงแบบ Port-out ซึ่งจะส่งรหัสอนุมัติบัญชีไปยังอุปกรณ์ที่ควบคุมโดยบุคคลอื่น เป็นทางเลือก ตลาดแลกเปลี่ยนหลายแห่งรองรับแอปยืนยันตัวตน เช่น Google Authenticator ซึ่งให้ตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่า
  • การยืนยันตัวตนด้วยระบบไบโอเมตริกซ์: ตลาดแลกเปลี่ยนบางแห่งรองรับการยืนยันตัวตนด้วยระบบไบโอเมตริกซ์ เช่น การใช้แอปมือถือร่วมกับการล็อกอินเว็บบนเดสก์ท็อป หรืออนุญาตให้เข้าถึงบัญชีของคุณผ่านแอปมือถือแบบสแตนด์อโลน

ตัวอย่างของ Crypto Wallet ที่มีความปลอดภัยพื้นฐานรวมถึงกระเป๋าเงินในตลาดแลกเปลี่ยนอย่าง Coinbase และ Binance หรือบัญชีโบรกเกอร์อย่าง Robinhood และ eToro โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระเป๋าเงินที่มีความปลอดภัยพื้นฐานไม่ให้ผู้ใช้งานเข้าถึง Private Key ของกระเป๋าเงิน ดังนั้น เงินทุนอาจถูกระงับหรือการถอนอาจถูกระงับได้

B) ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น: Seed Phrases, การควบคุม Private Key, ฮาร์ดแวร์

กระเป๋าเงินที่มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นให้ผู้ใช้ควบคุม Seed Phrases และ Private Key ของกระเป๋าเงิน คุณจะพบความทับซ้อนที่นี่เพราะทั้ง Hot และ Cold Wallet แบบ Self-Custody ต่างก็มีการควบคุม Private Key อย่างไรก็ตาม Cold Wallet จะอยู่ในหมวดหมู่ถัดไป (ความปลอดภัยสูงสุด) เนื่องจากการเก็บข้อมูลแบบ Cold Storage

Seed Phrases: กระเป๋าเงินที่มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นมักจะใช้ Seed Phrases ที่ช่วยให้คุณกู้คืนกระเป๋าเงินหรือในบางกรณีใช้กระเป๋าเงินกับแอปกระเป๋าเงินหลายแอปได้

Private Keys: แต่ละที่อยู่กระเป๋าเงินมี Private Key ที่ไม่ซ้ำกันใช้ในการอนุมัติธุรกรรม Private Key ของกระเป๋าเงินถูกสร้างขึ้นโดย Seed Phrases แต่สามารถส่งออกแยกกันได้หากคุณต้องการใช้เพียงหนึ่งในที่อยู่กระเป๋าเงินที่อื่น

ตัวอย่างของกระเป๋าเงินที่มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นรวมถึงกระเป๋าเงินเฉพาะทางเช่น MetaMask (สำหรับเชน EVM) หรือ Sparrow (สำหรับ Bitcoin เท่านั้น) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แอปกระเป๋าเงินที่มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นหลายแอปยังรองรับการเชื่อมต่อกับ Hardware Wallets ที่มี Cold Storage

C) ความปลอดภัยสูงสุด: การเก็บข้อมูลแบบ Cold Storage, กระเป๋าเงินแบบ Multi-Signature

ตัวเลือกที่มีความปลอดภัยสูงสุดมีตั้งแต่ Cold Storage (เก็บ Private Key แบบออฟไลน์) ไปจนถึงกระเป๋าเงินแบบซ่อน (Hidden Wallets) และแม้แต่กระเป๋าเงินที่ต้องการลายเซ็นจากกระเป๋าเงินภายนอก 2 อันขึ้นไป มาสำรวจฟีเจอร์ขั้นสูงบางอย่างที่อาจจะมีในกระเป๋าเงินที่มีความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งมักเป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เช่น Ledger หรือ Trezor กันดีกว่า

  • การเก็บข้อมูลแบบ Cold Storage: การเก็บ Private Key ของกระเป๋าเงินแบบออฟไลน์ช่วยปกป้องเหรียญคริปโตชั้นนำจากภัยคุกคามออนไลน์ เช่น มัลแวร์หรือช่องโหว่ของแอปกระเป๋าเงิน
  • รองรับ Multi-Sig: กระเป๋าเงินที่รองรับ Multi-sig สามารถตั้งค่าให้ต้องการการอนุมัติจากกระเป๋าเงินภายนอก 2 อันขึ้นไป ผู้ใช้งานเป็นกลุ่มมักจะใช้กระเป๋าเงินแบบ Multi-sig แต่บุคคลก็สามารถใช้กระเป๋าเงินเหล่านี้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยเป็น 2 เท่าได้
  • กระเป๋าเงินแบบซ่อน: กระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์บางอันรองรับกระเป๋าเงินแบบซ่อนที่จะปรากฏให้เห็นเฉพาะเมื่อใส่รหัสผ่านเท่านั้น ในกรณีนี้ แม้ว่าใครบางคนจะเข้าถึง Seed Phrases ของกระเป๋าเงินได้ ซึ่งเปิดเผย Private Key สำหรับที่อยู่กระเป๋าเงินอื่นๆ ที่อยู่กระเป๋าเงินแบบซ่อนและ Private Key ก็ยังคงถูกปิดบังไว้
  • กระเป๋าเงินแบบ Airgap: กระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์และแอปกระเป๋าเงินบางอันรองรับธุรกรรมที่ใช้ QR-Code ซึ่งไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ผ่าน USB หรือ Bluetooth กระเป๋าเงินแบบ Airgapped ยังคงออฟไลน์อยู่ ปกป้อง Private Key ของคุณจากความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อแบบมีสายหรือไร้สาย
  • Secure Element: กระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่หลายรุ่นใช้ชิป Secure Element เพื่อเก็บ Private Key ของคุณ ชิปประเภทพิเศษนี้มีความต้านทานการงัดแงะและใช้ในบัตรเครดิต พาสปอร์ต และโทรศัพท์มือถือ
  • เทคโนโลยี NFC: บัตรเครดิตและเดบิตสมัยใหม่ใช้ Near Field Communication (NFC) เป็นหนึ่งในวิธีอนุมัติธุรกรรม กระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์บางอันตอนนี้ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน โดยใช้บัตรที่รองรับ NFC เพื่ออนุมัติธุรกรรมกับแอปคู่

อย่าคาดหวังว่าจะพบฟีเจอร์เหล่านี้ทั้งหมดในกระเป๋าเงินหรือแอปเดียว คุณอาจจะต้องจัดลำดับความสำคัญตามการใช้งานที่คาดหวังและระดับความเสี่ยง กระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ เช่น แบรนด์ที่ผ่านการทดสอบแล้วอย่าง Ledger หรือ Trezor เป็นหนึ่งใน Crypto Wallet ที่มีความปลอดภัยสูงสุด ตอนนี้มีผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามาที่นำเสนอกระเป๋าเงิน Crypto ที่มีนวัตกรรม ตัวอย่างเช่น Ellipal ได้รับความนิยมสำหรับกระเป๋าเงินแบบ Airgap

5) คุณกำลังมองหาตัวเลือกฟรีหรือพรีเมียม?

ตัวเลือกที่มีความปลอดภัยสูงสุดมักต้องการการลงทุน ราคากระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์เริ่มต้นที่ประมาณ 50 ดอลลาร์และอาจมีราคาหลายร้อยดอลลาร์สำหรับรุ่นพรีเมียม ในทางกลับกัน กระเป๋าเงินในตลาดแลกเปลี่ยนใช้งานฟรี อย่างไรก็ตาม ยังมีทางเลือกกลางๆ ด้วยแอปกระเป๋าเงินที่ใช้งานฟรี เช่น MetaMask หรือ Electrum ซึ่งให้คุณควบคุม Private Key ของคุณได้

  • ฟรี (ความปลอดภัยพื้นฐาน): กระเป๋าเงินในตลาดแลกเปลี่ยนฟรีแต่มาพร้อมกับการแลกเปลี่ยนด้านความปลอดภัย คุณไม่ได้ควบคุม Private Key คาดว่าจะมีการรองรับโปรโตคอลภายนอกและ DApps แบบจำกัด หรืออาจไม่มีการรองรับเลย
  • ฟรี (ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น): กระเป๋าเงินเช่น MetaMask และ Sparrow ให้คุณควบคุม Private Key ของคุณและมีการรองรับกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ภายนอก กระเป๋าเงินส่วนใหญ่ในหมวดหมู่นี้ใช้งานฟรีแต่อาจจะมีบริการแบบชำระเงินภายในกระเป๋าเงิน เช่น การเติมเงินหรือการแลกเปลี่ยน หากคุณเลือกตัวเลือกนี้ ให้มองหาแอปที่ผ่านการทดสอบแล้วที่มีโค้ดแบบโอเพนซอร์สและชุมชนที่กระตือรือร้น
  • ชำระเงิน (ความปลอดภัยสูงสุด): แม้ว่ากระเป๋าเงินที่มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นจะมีการรองรับ Multi-sig และให้การควบคุม private key ของคุณ แต่คุณจะต้องใช้โซลูชันฮาร์ดแวร์ในกรณีส่วนใหญ่สำหรับการเก็บข้อมูลแบบออฟไลน์ เมื่อซื้อกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ ให้ซื้อโดยตรงจากผู้ผลิตเสมอ และอย่าใช้กระเป๋าเงินที่พบวางอยู่หรือที่มีคนให้มา กระเป๋าเงินจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถืออาจจะถูกแฮกได้

กลยุทธ์ Hot-Cold Wallet: วิธีใช้งานร่วมกัน


Electrum, MetaMask, Rabby, Sparrow และแอปกระเป๋าเงินที่ได้รับการสนับสนุนอีกหลายตัวอนุญาตให้ผู้ใช้งานเชื่อมต่อกับกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ที่เลือก ตัวเลือกนี้ช่วยให้ผู้ใช้ปกป้องยอดคงเหลือที่มากขึ้นด้วยการเก็บคีย์แบบออฟไลน์ ในขณะที่ช่วยให้พวกเขาสามารถโต้ตอบกับ DApps หรือทำงานอื่นๆ เช่น การจัดการ UTXOs สำหรับ Bitcoin หรือ Cryptocurrency ที่คล้ายกัน

Hot Wallet เช่น MetaMask เชื่อมต่อกับ DApps เช่น Uniswap DEX เพื่อแลกเปลี่ยน Cryptocurrency หรือจัดการตำแหน่งสภาพคล่อง อย่างไรก็ตาม ด้วยโครงสร้างนี้ Private Key สำหรับที่อยู่กระเป๋าเงินเฉพาะจะถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ภายนอก Hot Wallet App จะส่งธุรกรรมไปยัง Hardware Wallet เพื่อการยืนยันตัวตน

หากธุรกรรมดูถูกต้อง คุณจะอนุมัติโดยใช้กระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ หากไม่มีกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ Hot Wallet จะไม่สามารถประมวลผลธุรกรรมสำหรับที่อยู่กระเป๋าเงินที่ได้รับการปกป้องได้

ผู้ใช้งานคริปโตที่มีประสบการณ์หลายคนจะใช้ทั้ง Hot และ Cold Wallet บางครั้งใช้ตัวเลือกทั้ง 2 นี้ร่วมกันตามที่อธิบายไว้หรือบางครั้งก็แยกกันอย่างสิ้นเชิง แนวคิดนี้คล้ายกับวิธีที่เราโต้ตอบกับสกุลเงินดั้งเดิม พกเงินติดตัวบางส่วนในขณะที่เก็บจำนวนที่มากกว่าไว้ในธนาคารหรือซ่อนไว้อย่างปลอดภัย

บทสรุป


การเรียนรู้วิธีเลือก Crypto Wallet ต้องพิจารณาความต้องการและระดับความเสี่ยงของคุณ กระเป๋าเงินในตลาดแลกเปลี่ยนให้โซลูชันที่ง่ายที่สุดแต่ไม่ให้คุณเข้าถึง Private Key ของคุณ ผลที่ตามมาคือความเสี่ยงที่เงินทุนอาจถูกขโมยหรือบัญชีของคุณอาจถูกบุกรุก Hot Wallet ให้คุณควบคุม Private Key ของคุณแต่อาจยังคงมีความเสี่ยงต่อช่องโหว่ Hardware Wallet ให้การปกป้องที่ดีที่สุดเพราะเก็บ Private Key แบบออฟไลน์

อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นมาพร้อมกับค่าใช้จ่าย คุณจะต้องซื้อ Hardware Wallet หากความต้องการของคุณต้องการความปลอดภัยเพิ่มเติมของการเก็บ Private Key แบบออฟไลน์

คำถามที่พบบ่อย

กระเป๋าเงินประเภทไหนดีที่สุดสำหรับมือใหม่?

กระเป๋าเงินในตลาดแลกเปลี่ยนให้ประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานที่ง่ายที่สุด อย่างไรก็ตาม แอปกระเป๋าเงินแบบ Hot เช่น Best Wallet หรือ Trust Wallet ก็มีอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและให้คุณควบคุม Private key ของกระเป๋าเงินของคุณ ถือเป็นกระเป๋าเงินที่เหมาะสำหรับมือใหม่

เมื่อไหร่ที่ควรเปลี่ยนจาก Hot Wallet ไปเป็น Cold Wallet?

พิจารณาย้ายไปยัง Cold Wallet หากยอดคงเหลือสินทรัพย์คริปโตของคุณสูงหรือหากคุณคาดว่าสินทรัพย์คริปโตของคุณจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การใช้งาน Hot Wallet และ Cold Wallet ร่วมกันคุ้มค่าหรือไม่?

ใช่ หากคุณมีสินทรัพย์คริปโตจำนวนมาก การใช้ Hot Wallet ร่วมกับ Cold Wallet ช่วยให้คุณเก็บยอดคงเหลือที่มากกว่าไว้อย่างปลอดภัยในขณะที่ยังสามารถเข้าถึงยอดคงเหลือที่น้อยกว่าและสามารถเชื่อมต่อกับ DApps ของบุคคลที่ 3 ได้โดยมีความเสี่ยงลดลง

การเก็บรักษากระเป๋าเงินแบบใดที่ปลอดภัยที่สุด?

Cold Storage เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการเก็บคริปโต ด้วย Cold Storage ตัว Private Key ที่ควบคุมสินทรัพย์คริปโตของคุณบน Blockchain จะถูกเก็บไว้แบบออฟไลน์

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลือกกระเป๋าเงินคืออะไร?

นอกเหนือจากการจับคู่ฟีเจอร์ของกระเป๋าเงินกับความต้องการของคุณแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องเลือก Crypto Wallet ที่คุณเชื่อถือ แอปกระเป๋าเงินที่ใหม่กว่าอาจมีช่องโหว่ที่ยังไม่ถูกค้นพบ Hot Wallet ที่มีโค้ดแบบโอเพนซอร์ส การพัฒนาที่กระตือรือร้น และชุมชนผู้ใช้งานที่คึกคัก หรือ Hardware Wallet จากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงมักเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด

อ้างอิง

เรามุ่งมั่นในการให้ความโปร่งใสกับผู้อ่าน เนื้อหาบางส่วนอาจมี Affiliate Links ซึ่งเราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่น เพื่อความโปร่งใส่สามารถอ่าน Affiliate Disclosure เพิ่มเติม