ทำความรู้จักกับกราฟแท่งเทียนและความสำคัญในการเทรด

Last updated:
Last updated:
ทำไมจึงไว้วางใจ Cryptonews
Cryptonews ได้รายงานข่าวในวงการคริปโตเคอเรนซีมานานกว่า 10 ปี ทีมงานที่เชี่ยวชาญของเรามุ่งเน้นการวิเคราะห์ตลาด เทคโนโลยีบล็อกเชน และการรายงานอย่างถูกต้องและสมดุล ครอบคลุมคริปโต บล็อกเชน และการพัฒนาในอุตสาหกรรม เรามุ่งมั่นในการให้ความโปร่งใสกับผู้อ่าน เนื้อหาบางส่วนอาจมี Affiliate Links ซึ่งเราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่น หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มโปรดอ่านรายละเอียดในเพจ Affiliate Disclosure

สำหรับผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่โลกของการเทรด ไม่ว่าจะเป็นตลาดการเงินประเภทใดก็แล้วแต่ การทำความเข้าใจการวิเคราะห์ทางเทคนิคถือเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญ ถึงแม้ว่าจะมีองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่ควรจะศึกษา แต่หัวใจสำคัญที่จะช่วยให้คุณเหนือกว่านักลงทุนคนอื่นๆ ก็คือ ความเชี่ยวชาญในการอ่านรูปแบบกราฟแท่งเทียน

ทำความรู้จักกับกราฟแท่งเทียนและความสำคัญในการเทรด

การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียนนั้นเปรียบเสมือนการอ่านแผนที่ที่บอกทิศทางของตลาด ซึ่งแต่ละองค์ประกอบของแท่งเทียนนั้นจะบ่งบอกข้อมูลสำคัญของราคาในช่วงเวลานั้นๆ ให้แก่คุณ นอกจากนี้ การรวมตัวกันของกลุ่มแท่งเทียนยังสามารถสร้างรูปแบบที่ช่วยคุณสามารถคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต ตลอดทั้งการยืนยันแนวโน้มหรือการเปลี่ยนทิศทางของตลาดได้

ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ “กราฟแท่งเทียน” เครื่องมือสำคัญที่นักเทรดคริปโตทั่วโลกใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา โดยจะมาอธิบายถึงองค์ประกอบพื้นฐานของแท่งเทียน รูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นของกราฟแท่งเทียน และวิธีการอ่านแพทเทิร์นกราฟแท่งเทียนที่จะช่วยให้คุณสามารถคาดการณ์ทิศทางของตลาดได้แม่นยำมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือ นักเทรดที่มีประสบการณ์ก็ตาม

ทำความรู้จักกับกราฟแท่งเทียนและความสำคัญในการเทรด


กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) คือสิ่งที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของตลาดการเงินได้อย่างชัดเจนผ่านสิ่งที่เรียกว่า “แท่งเทียน” โดยแแท่งเทียนแต่ละแท่งนั้นจะมีรูปร่างที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของราคาสินทรัพย์ดังกล่าวในช่วงเวลานั้นๆ ได้ ช่วยให้ นักเทรดสามารถอ่านและเข้าใจทิศทางของตลาดได้ง่ายขึ้น เหมือนกับการอ่านสัญญาณไฟจราจรที่บอกว่าเราควรหยุด ระวัง หรือเดินหน้าต่อไปนั่นเอง

ทำความรู้จักกับกราฟแท่งเทียนและความสำคัญในการเทรด

กราฟแท่งเทียนนั้นมีประวัติยาวนานมากว่า 100 ปี โดยถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 18 จากการค้าขายข้าวในตลาดท้องถิ่น

ทำความรู้จักกับกราฟแท่งเทียนแล

โดยพ่อค้าข้าวที่มีชื่อว่า Munehisa Homma ได้พัฒนาวิธีการนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยในการติดตามความเคลื่อนไหวของราคา ต่อมา ในต้นศตวรรษที่ 20 เทคนิคนี้ได้แพร่หลายมาสู่โลกตะวันตกผ่าน Sokyu Honma นักวิเคราะห์กราฟชาวญี่ปุ่น จนกระทั่ง Steve Nison ได้ทำให้กราฟแท่งเทียนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางผ่านหนังสือ “Japanese Candlestick Charting Techniques” ของเขาในปี 1991 ปัจจุบันกราฟแท่งเทียนได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ตลาดการเงินทั่วโลก

กราฟแท่งเทียนนั้นจะมีองค์ประกอบหลักๆ อยู่ 3 ประการ ได้แก่

  • แท่งเทียน — แสดงถึงความเคลื่อนไหวของราคาตั้งแต่ “จุดเปิดของราคา” ไปถึง “จุดปิดของราคา”
  • ไส้เทียน — แสดงถึง “จุดสูงสุด” และ “ต่ำสุด” ของราคาของแท่งเทียนนั้นๆ
  • สี — แท่งเทียนจะแบ่งออกเป็น 2 คู่สี ได้แก่ เขียว/ขาว เป็นตัวแทนของแท่งเทียนที่มีราคาเป็น “บวก” และ แดง/ดำ เป็นตัวแทนของแท่งเทียนที่มีราคาเป็น “ลบ”

นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ควรทราบก็คือ โดยทั่วไปแล้ว แท่งเทียน 1 แท่งจะเป็นตัวแทนของ 1 เซสชั่นของ “กรอบเวลา” ที่เราเลือกใช้งาน ตัวอย่างเช่น หากเราเลือกกรอบเวลา “1 วัน” แท่งเทียน 1 แท่งก็จะเป็นตัวแทนความเคลื่อนไหวของราคาในช่วง “1 วัน”

ตัวอย่างแท่งเทียนแบบ 1D จากกราฟ BTC/USD จาก TradingView

แล้วเราจะรู้ความเคลื่อนไหวของราคาจากการดูแท่งเทียนได้อย่างไร? วิธีดูกราฟแท่งเทียนนั้นทำได้ง่ายมากๆ ตามนี้

ในแต่ละแท่งเทียนนั้นจะมีข้อมูลสำคัญที่จะต้องดูอยู่ 4 จุด ได้แก่

  1. ราคาเปิด — จุดเปิดของราคาสินทรัพย์ในเซสชั่นนั้นๆ
  2. ราคาสูงสุด — จุดสูงสุดของราคาสินทรัพย์ที่ขึ้นไปถึงในเซสชั่นนั้นๆ
  3. ราคาต่ำสุด — จุดต่ำสุดของราคาสินทรัพย์ที่ลงไปถึงในเซสชั่นนั้นๆ
  4. ราคาปิด — จุดปิดของราคาสินทรัพย์ในเซสชั่นนั้นๆ

สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง แท่งเทียนขาขึ้น (สีเขียว/ขาว) และ แท่งเทียนขาลง (สีแดง/ดำ) ก็คือ “จุดปิด” ของราคาในแท่งเทียนนั้นๆ หากราคาปิดของแท่งเทียนขึ้นไปอยู่สูงกว่าราคาเปิดของแท่งเทียนในช่วงเวลานั้นๆ ก็หมายความว่า ในเซสชั่นดังกล่าว ราคาของสินทรัพย์นั้นเพิ่มขึ้นจากราคาเปิดก่อนที่จะเปลี่ยนไปยังเซสชั่นถัดไป

ตัวอย่าง:

ราคาสินทรัพย์ A ในกรอบ 1D (1 วัน) เปิดราคาที่ 2,000 ดอลลาร์ ขึ้นไปสูงสุดที่ 2,150 ดอลลาร์ และลดลงต่ำสุดที่ 1,900 ดอลลาร์ และปิดวันที่ราคา 2,130 ดอลลาร์ สิ่งนี้จะถูกแปลงออกมาเป็นข้อมูลแท่งเทียนได้ดังนี้

  • ราคาเปิด — 2,000 ดอลลาร์
  • ราคาสูงสุด — 2,150 ดอลลาร์
  • ราคาต่ำสุด — 1,900 ดอลลาร์
  • ราคาปิด — 2,130 ดอลลาร์

ในกรณีนี้ เมื่อราคาปิดเพิ่มขึ้นจากจุดเปิดของราคาสินทรัพย์ในเซสชั่นนั้นๆ ตัวแท่งเทียนก็จะถูกแสดงออกมาเป็น “แท่งเทียนสีเขียว/ขาว” เพื่อช่วยให้เหล่านักลงทุนมีวิธีดูกราฟแท่งเทียนได้ง่ายๆ ว่า ช่วงเวลาดังกล่าว ราคาของสินทรัพย์เพิ่มขึ้นหรือลดลงกันแน่

ความสำคัญของกราฟแท่งเทียนในการเทรด

  • ใช้วิเคราะห์จิตวิทยาของนักลงทุนในตลาด: แท่งเทียนช่วยให้เราเข้าใจอารมณ์ตลาดผ่านสีและขนาดของแท่ง แท่งเทียนสีเขียวยาวบ่งบอกว่าผู้ซื้อมีกำลังมาก ขณะที่แท่งเทียนสีแดงยาวแสดงถึงแรงขายที่รุนแรง ส่วนความยาวของไส้เทียนสะท้อนให้เห็นการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อและแรงขายในช่วงเวลานั้น
  • การระบุจุดกลับตัว: รูปแบบกราฟแท่งเทียนต่างๆ จะช่วยบ่งบอกถึงจุดเปลี่ยนทิศทางของราคา เช่น รูปแบบ Hammer ที่มีหางยาวแต่หัวสั้นซึ่งมักจะเกิดในจุดต่ำ บ่งบอกโอกาสกลับตัวขึ้น ขณะที่รูปแบบ Shooting Star มีหัวยาวแต่ตัวสั้น มักจะพบในจุดสูงและบ่งบอกโอกาสปรับตัวลง
  • การวิเคราะห์แนวโน้มราคา: ในแนวโน้มขาขึ้น เราจะเห็นได้ถึงแท่งเทียนสีเขียวจำนวนมากสลับแท่งเทียนสีแดงเล็กน้อย แสดงถึงแรงซื้อที่เหนือกว่า ส่วนในแนวโน้มขาลงก็จะสลับกันระหว่างแท่งเทียนสีแดงที่มีมากและแท่งเทียนสีเขียวที่มีน้อย นอกจากนี้ เรายังสามารถบอกถึงแนวโน้มที่รุนแรงยิ่งขึ้นได้จากระยะห่างราคาเปิด-ปิดที่กว้างขึ้นอีกด้วย
  • การระบุถึงแรงเข้า-ออกในการซื้อขาย: ไส้เทียนด้านบนที่ยาวจะแสดงถึงแรงซื้อที่พยายามผลักดันราคาแต่ไม่สำเร็จ ส่วนไส้เทียนด้านล่างที่ยาวจะบ่งชี้แรงขายที่พยายามกดราคาลงแต่มีแรงซื้อต้านอยู่ ตัวแท่งเทียนที่ใหญ่แต่มีไส้เทียนที่สั้นแสดงถึงการควบคุมทิศทางที่ชัดเจนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (ฝั่งซื้อหรือฝั่งขาย)
  • ใช้ยืนยันสัญญาณเทรดร่วมกับอินดิเคเตอร์ตัวอื่นๆ: การใช้รูปแบบกราฟแท่งเทียนร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น RSI หรือ แนวรับ-แนวต้าน จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ได้ เช่น รูปแบบ Hammer ที่แนวรับพร้อม ค่า RSI ในโซนขายมากเกินไปแปลว่ามีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวสูง หรือ รูปแบบ Shooting Star ที่แนวต้านพร้อมปริมาณการซื้อขายที่สูงถือเป็นสัญญาณขายที่น่าสนใจ

กราฟแท่งเทียนเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ตลาดการเงิน เนื่องจากสามารถแสดงข้อมูลราคาที่สำคัญได้ครบถ้วนในแท่งเดียว ทั้งราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุด การใช้สีและรูปทรงที่แตกต่างกันทำให้สามารถแยกแยะทิศทางและความแข็งแกร่งของราคาได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการใช้สีเขียว-แดงที่สื่อความหมายได้ชัดเจน นอกจากนี้ รูปแบบแท่งเทียนต่างๆ เช่น Hammer และ Shooting Star ยังเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก ทำให้นักลงทุนสามารถสื่อสารและเข้าใจตรงกัน

ความยืดหยุ่นในการใช้งานเป็นอีกจุดเด่นของกราฟแท่งเทียน เพราะสามารถใช้ได้กับทุกกรอบเวลา ตั้งแต่ 1 นาทีไปจนถึงรายเดือน โดยหลักการวิเคราะห์ยังคงเหมือนเดิม รูปแบบและขนาดของแท่งเทียนสามารถสะท้อนอารมณ์และพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาดได้อย่างชัดเจน ช่วยให้เข้าใจแรงซื้อ-ขายในแต่ละช่วงเวลาได้ง่าย และเป็นพื้นฐานสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่สำคัญ กราฟแท่งเทียนยังสามารถนำไปใช้งานได้กับทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟอเร็กซ์ คริปโต หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้กราฟแท่งเทียนเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับนักลงทุนและนักเทรดทุกระดับ

แพทเทิร์นกราฟแท่งเทียนพื้นฐานที่ควรรู้


แพทเทิร์นกราฟแท่งเทียน (Candlestick Patterns) ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยวิเคราะห์และอ่านราคาในตลาดหุ้นหรือตลาดการเงิน เปรียบเสมือนแผนที่ที่ช่วยให้นักลงทุนเห็นทิศทางราคาว่าควรจะซื้อหรือขายเมื่อไหร่ และทำให้สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์การซื้อขายได้ดียิ่งขึ้น

โดยหลักการแล้ว กราฟแท่งเทียนจะถูกนำมาใช้เพื่อบ่งบอกทิศทางของราคา ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่

  1. กราฟแท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlesticks)
  2. กราฟแท่งเทียนขาลง (Bearish Candlesticks)
  3. กราฟแท่งเทียนที่เป็นกลาง (Neutral Candlesticks)

นอกจากนี้ กราฟแท่งเทียนยังสามารถแบ่งประเภทออกได้ตามจำนวนแท่งเทียนที่นำมาใช้งาน โดยจะให้ความสะดวกในการอ่านสัญญาณและความแม่นยำของสัญญาณที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  1. แท่งเทียนเดี่ยว (Single Candle Patterns)
  2. แท่งเทียนคู่ (Double Candle Patterns)
  3. แท่งเทียน 3 แท่ง (Triple Candle Patterns)

เรามาทำความรู้จักแพทเทิร์นกราฟแท่งเทียนพื้นฐานต่างๆ ที่ควรรู้และความหมายของมันกันดีกว่า

ก่อนอื่น เราจะมาแนะนำรูปแบบแท่งเทียนเดี่ยวกันก่อน เนื่องจากดูได้ง่าย ไม่ซับซ้อน และใช้ประเมินทิศทางของราคาได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำของแท่งเทียนเดี่ยวนั้นอาจจะต่ำกว่าแท่งเทียนคู่/แท่งเทียน 3 แท่ง เนื่องจากเป็นสัญญาณที่มาจากแท่งเทียนเพียงแท่งเดียวเท่านั้น ดังนั้น เราจึงควรใช้มันควบคู่ไปกับตัวชี้วัดอื่นๆ ในการอ่านสัญญาณ เพื่อที่จะได้ความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

1. Hammer Pattern

รูปแบบแท่งเทียนค้อน (Hammer pattern) เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าราคากำลังจะวิ่งขึ้น ซึ่งมักจะพบแท่งเทียนนี้ได้ตอนที่ราคาลงมาต่ำสุดแล้ว นักเทรดมักจะใช้รูปแบบ Hammer เป็นจังหวะในการซื้อ เพราะมีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้นในอนาคตอันใกล้ ลักษณะของรูปแบบแท่งเทียนค้อนจะตัวแท่งเทียนที่สั้น มีไส้ที่ยืดลงมาด้านล่างที่ยาวเป็น 2 เท่าของตัวแท่งเทียน เป็นสัญญาณว่าฝั่งขายกำลังสูญเสียอำนาจและถูกผู้ซื้อที่มีจำนวนมากกว่าเข้าแทนที่

Hammer Pattern

อีกรูปแบบที่คล้ายคลึงกันก็คือ รูปแบบแท่งเทียนค้อนกลับหัว (Inverted hammer pattern) ซึ่งจะพบได้ที่จุดต่ำสุดของราคาเช่นกัน และก็เป็นสัญญาณของแท่งเทียนขาขึ้นเช่นกัน เพียงแต่จะเป็นการบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาลงและความเป็นไปได้ที่แนวโน้มจะกลับตัวขึ้น

2. Shooting Star

รูปแบบแท่งเทียนดาวตก (Shooting Star Pattern) จะมีรูปร่างเหมือนกับรูปแบบค้อนกลับหัว เพียงแต่จะเกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มขาขึ้นเท่านั้น ลักษณะเด่นของมันคือมีตัวแท่งเทียนเล็กๆ อยู่ด้านล่าง และมีไส้เทียนยื่นยาวขึ้นไปด้านบน ความยาวของไส้เทียนด้านบนนี้ต้องยาวกว่าตัวแท่งเทียนอย่างน้อย 2 เท่า จึงจะถือว่าเป็นรูปแบบดาวตกที่สมบูรณ์ แพทเทิร์นกลับตัวนี้มักจะเป็นสัญญาณเตือนว่าราคาที่กำลังขึ้นอยู่อาจจะกลับตัวลงในเร็วๆ นี้

Shooting Star

เมื่อดูพฤติกรรมราคาในวันที่เกิดรูปแบบแท่งเทียนดาวตก จะเห็นว่าตลาดมักจะเปิดด้วยราคาที่สูงกว่าวันก่อนหน้าเล็กน้อย จากนั้น ราคาจะพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ในระหว่างวัน แต่พอใกล้เวลาปิดตลาด ราคากลับร่วงลงมาปิดที่ระดับใกล้เคียงกับราคาเปิด ทำให้เกิดเป็นไส้เทียนยาวที่ด้านบน ลักษณะการเคลื่อนไหวแบบนี้คล้ายกับดาวที่กำลังตกลงสู่พื้น (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อรูปแบบนี้) และยังบ่งบอกว่าแรงซื้อในตลาดกำลังอ่อนแรงลงอีกด้วย

3. Doji

รูปแบบแท่งเทียนโดจิ (Doji pattern) นั้นมาจากคำว่า “โดจิ” ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่มีรากฐานมาจากภาษาญี่ปุ่น ที่แปลว่า “เหมือนกัน” ใช้เรียกแท่งเทียนที่ราคาเปิดและราคาปิดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันมากๆ โดยไส้เทียนด้านบนและไส้เทียนด้านล่างอาจจะยาวไม่เท่ากันก็ได้ รูปแบบโดจิแบบคลาสสิกเป็นแท่งเทียนที่บอกว่าตลาดกำลังลังเลและไม่แน่นอน แสดงให้เห็นว่าทั้งแรงซื้อและแรงขายไม่มีใครแข็งแรงกว่ากัน ตลาดเลยอยู่ในจุดที่สมดุลพอดี เวลาที่เราเห็นรูปแบบแท่งเทียนโดจิ นักเทรดจะต้องระมัดระวังและรอดูสัญญาณอื่นๆ เพิ่มเติมก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหรือขาย

Doji

รูปแบบแท่งเทียนโดจินั้นมีอยู่หลายประเภท ได้แก่ โดจิแบบคลาสสิกที่เพิ่งอธิบายไป โดจิหลุมศพ (Gravestone Doji) และโดจิแมลงปอ (Dragonfly Doji) ซึ่งจะมีการตีความสัญญาณที่แตกต่างกันออกไป นักเทรดจึงต้องเรียนรู้วิธีดูแท่งเทียนแต่ละรูปแบบให้ดี เพื่อที่จะได้ใช้มันเป็นสัญญาณในการเทรดได้อย่างถูกต้อง

ต่อไป เราจะมาดูแพทเทิร์นกราฟแท่งเทียนคู่กันต่อ รูปแบบแท่งเทียนคู่นั้นจะให้สัญญาณที่มีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางของราคา เนื่องจากเป็นการใช้แท่งเทียน 2 แท่งที่อยู่ติดกันเพื่ออ่านสัญญาณของราคา อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับรูปแบบแท่งเทียนเดี่ยว นักเทรดควรที่จะใช้มันควบคู่ไปกับตัวชี้วัดตัวอื่นๆ วิเคราะห์แนวโน้มราคาเพื่อให้ได้ความถูกต้องของสัญญาณมากขึ้น

4. Bullish Engulfing

รูปแบบแท่งเทียนแบบครอบงำ (Engulfing Pattern) เป็นหนึ่งในรูปแบบกราฟแท่งเทียนยอดนิยมที่นักเทรดใช้ในการหาจุดกลับตัวของเทรนด์ในตลาดการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาย่อตัวลงมา รูปแบบนี้จะช่วยให้เรารู้ว่าเมื่อไหร่ที่ราคาจะกลับตัวขึ้นหรือเทรนด์เดิมจะเดินหน้าต่อไป

Bullish Engulfing

ในรูปแบบแท่งเทียนครอบงำขาขึ้น (Bullish Engulfing Pattern) เราจะต้องดูแท่งเทียน 2 แท่งติดกัน โดยแท่งแรกจะเป็นสีแดง ตามด้วยแท่งที่ 2 เป็นสีเขียวที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ไส้เทียนของทั้งเทียนทั้ง 2 แท่งต้องซ้อนทับกันน้อยมากหรือไม่มีเลย และที่สำคัญคือ แท่งเทียนสีเขียวต้องเปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแดง และปิดสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเทียนสีแดงด้วย พอเห็นรูปแบบแบบนี้ แสดงว่าแรงซื้อเริ่มมีกำลังมากกว่าแรงขายแล้ว ราคาเลยมีโอกาสที่จะวิ่งขึ้นต่อไปได้

5. Bearish Engulfing

รูปแบบแท่งเทียนครอบงำขาลง (Bearish Engulfing Pattern) เป็นหนึ่งในรูปแบบที่นักเทรดใช้มองหาจุดกลับตัวของราคา มักเกิดในช่วงที่ราคากำลังวิ่งขึ้น โดยจะเห็นแท่งเทียนสีเขียวขนาดเล็กตามด้วยแท่งเทียนสีแดงขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมแท่งสีเขียวในเซสชั่นก่อนหน้า รูปแบบนี้จะบ่งบอกว่าแรงขายเริ่มเข้ามามีอำนาจในตลาดมากขึ้น ทำให้สามารถกดราคาลงได้ต่ำกว่าจุดเปิดของเซสชั่นก่อน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าราคาอาจจะเริ่มปรับตัวลง

Bearish Engulfing

เมื่อนักเทรดเจอรูปแบบ Bearish Engulfing ควรดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ปริมาณการเทรดในแท่งเทียนสีแดงว่าสูงขึ้นหรือไม่ หรือราคาอยู่ที่แนวต้านสำคัญหรือเปล่า เพราะจะช่วยยืนยันสัญญาณได้แม่นยำยิ่งขึ้น นักเทรดอาจจะใช้จุดสูงสุดของแท่งแดงเป็นจุดตัดขาดทุน และตั้งเป้าทำกำไรที่แนวรับถัดไปได้ แต่ควรรอให้ราคาปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งแดงก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าราคาจะลงต่อไป

ตัวอย่างสุดท้ายคือรายชื่อรูปแบบกราฟแท่งเทียน 3 แท่ง โดยจะเป็นการใช้แท่งเทียนที่อยู่ติดกัน 3 แท่งให้ข้อมูลทิศทางของราคา ซึ่งจะมีความแม่นยำมากที่สุดในบรรดารูปแบบการอ่านกราฟแท่งเทียนทั้งหมด แต่ก็แน่นอนว่า การจะทำให้เราสามารถอ่านเทรนด์ของราคาได้ถูกต้องมากที่สุด การใช้งานมันร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

6. Morning Star

รูปแบบแท่งเทียนดาวรุ่ง (Morning Star Pattern) เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น โดยเกิดจากแท่งเทียน 3 แท่ง เริ่มจากแท่งแรกเป็นแท่งเทียนสีแดงขนาดใหญ่แสดงถึงแรงขายที่รุนแรง ต่อด้วยแท่งเทียนกลางขนาดเล็กที่แยกห่างจากแท่งแรก บ่งบอกว่าแรงขายเริ่มอ่อนตัวลง และปิดท้ายด้วยแท่งเทียนสีเขียวขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นว่าแรงซื้อกลับเข้ามาควบคุมตลาดอีกครั้ง

Morning Star

รูปแบบนี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงท้ายของแนวโน้มขาลง และเป็นสัญญาณที่นักเทรดใช้มองหาจังหวะเข้าซื้อ เนื่องจากเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าตลาดกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง โดยสัญญาณจะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อแท่งสุดท้ายมีขนาดใกล้เคียงหรือใหญ่กว่าแท่งแรก เปรียบเสมือนดาวที่ส่องแสงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น บ่งบอกถึงการเริ่มต้นของช่วงเวลาใหม่ในตลาด

7. Evening Star

รูปแบบแท่งเทียนดาวค่ำ (Evening Star Pattern) บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคาจากขาขึ้นเป็นขาลง โดยจะประกอบไปด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง โดยแท่งแรกเป็นแท่งเทียนสีเขียวใหญ่ที่แสดงถึงแรงซื้อที่ยังแข็งแกร่ง ตามด้วยแท่งเทียนกลางขนาดเล็กที่แยกตัวขึ้นไป ซึ่งสะท้อนว่าแรงซื้อเริ่มชะลอตัว และจบด้วยแท่งเทียนสีแดงขนาดใหญ่ที่ปิดต่ำกว่ากึ่งกลางของแท่งแรก แสดงให้เห็นว่าแรงขายเริ่มเข้ามาควบคุมตลาด

Evening Star

รูปแบบนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนสำคัญสำหรับนักเทรด เพราะบ่งบอกว่าราคาอาจจะเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลง โดยแท่งเทียนกลางที่มีขนาดเล็กเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพราะแสดงให้เห็นว่าแรงซื้อที่เคยแข็งแกร่งเริ่มอ่อนแรงลง ก่อนที่แรงขายจะเข้ามาอย่างหนักในแท่งสุดท้าย ซึ่งเป็นการยืนยันว่าตลาดกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง เหมือนกับดวงดาวที่ส่องแสงในยามค่ำคืนก่อนที่ความมืดจะมาเยือน

แพทเทิร์นกราฟแท่งเทียนเปรียบเสมือนแผนที่ที่ช่วยให้นักลงทุนอ่านอารมณ์ของตลาดได้ โดยแท่งเทียนแต่ละแท่งจะบอกราคาที่สำคัญในแต่ละเซสชั่น ทั้งราคาตอนเริ่มซื้อขาย ราคาสุดท้าย รวมถึงราคาที่สูงที่สุดและต่ำที่สุด และรูปร่างของแท่งเทียนจะแสดงให้เห็นว่าใครกำลังมีอำนาจในตลาด ระหว่างฝ่ายที่อยากให้ราคาขึ้นกับฝ่ายที่อยากให้ราคาลง

ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถคาดเดาทิศทางราคาในอนาคต รู้ว่าควรซื้อหรือขายเมื่อไหร่ และวางแผนรับมือกับความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น เมื่อใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ มันก็ยิ่งจะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้แม่นยำมากขึ้น

การประยุกต์ใช้แพทเทิร์นกราฟในตลาดคริปโต


กราฟแท่งเทียนนั้นถือเป็นพื้นฐานหลักของการอ่านแพทเทิร์นกราฟราคาสินทรัพย์ในตลาดเงินทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดฟอเร็กซ์ ที่มีการใช้กันมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ดี การใช้แพทเทิร์นกราฟทั้งหมดสามารถนำมาประยุกต์ใช้ข้ามตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การนำไปใช้ในตลาดคริปโต เนื่องจากพฤติกรรมทางจิตวิทยาของนักลงทุนมีความคล้ายคลึงกัน

การนำแพทเทิร์นกราฟ Forex มาปรับใช้ในตลาดคริปโตนั้นต้องคำนึงถึงความแตกต่างของสภาพตลาด โดยเฉพาะในเรื่องความผันผวนที่สูงกว่า ตัวอย่างเช่น ในตลาด Forex รูปแบบ Double Top อาจจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการก่อตัว แต่ในตลาดคริปโตอาจจะเกิดขึ้นและสมบูรณ์ภายในไม่กี่วัน ดังนั้น นักลงทุนจึงจะต้องปรับกลยุทธ์การเข้าซื้อขายให้เหมาะสมกับความเร็วของตลาด

กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือช่วงต้นปี 2021 เมื่อ Bitcoin สร้างแพทเทิร์น Cup and Handle ใช้เวลาก่อตัวเพียง 3 เดือน ในขณะที่แพทเทิร์นลักษณะเดียวกันในตลาด Forex มักจะใช้เวลานานถึง 6-12 เดือน นักลงทุนที่เข้าใจความแตกต่างนี้และปรับตัวได้ทันจะสามารถทำกำไรได้มากกว่า 100% จากความเคลื่อนไหวดังกล่าว

ข้อควรระวังในการประยุกต์ใช้แพทเทิร์นกราฟทั้งหมดในตลาดคริปโต:

  1. สภาพคล่องที่แตกต่าง — ตลาดคริปโตมีสภาพคล่องน้อยกว่า Forex มาก อาจจะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติและหลอกล่อได้ง่าย
  2. ความผันผวนสูง — แพทเทิร์นกราฟที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบแล้วอาจจะถูกทำลายได้อย่างรวดเร็วด้วยความเคลื่อนไหวที่รุนแรง
  3. การซื้อขายตลอด 24/7 — ตลาดคริปโตนั้นต่างจากตลาด Forex ที่มีช่วงปิดทำการ ทำให้แพทเทิร์นบางรูปแบบอาจจะไม่แม่นยำเท่าที่ควร

เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จ นักลงทุนควรผสมผสานการวิเคราะห์แพทเทิร์นกราฟแท่งเทียนของตลาดคริปโตเข้ากับเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ เช่น ปริมาณการซื้อขาย เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ และดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ นอกจากนี้ นักเทรดควรที่จะศึกษาปัจจัยพื้นฐานและติดตามข่าวสารที่อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาอย่างมีนัยสำคัญด้วยเช่นกัน

การประยุกต์ใช้แพทเทิร์นกราฟอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์ นักลงทุนควรเริ่มต้นด้วยการเทรดในบัญชีทดลองเสียก่อน เพื่อที่จะสร้างความคุ้นเคยกับพฤติกรรมของแพทเทิร์นต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ก่อนที่จะนำไปใช้กับการลงทุนด้วยเงินจริงๆ

เทคนิคขั้นสูงในการวิเคราะห์แพทเทิร์นกราฟ


การลงทุนในตลาดการเงินเสมือนการเดินทางผ่านภูมิประเทศที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นักลงทุนจำเป็นต้องมีเครื่องมือช่วยนำทางเพื่อที่จะสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด การวิเคราะห์รูปแบบกราฟ คือ สิ่งสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจทิศทางและแนวโน้มของราคาสินทรัพย์ เสมือนแผนที่ที่เปิดเผยเส้นทางซ่อนเร้นในโลกการเงิน

เทคนิคการวิเคราะห์รูปแบบกราฟไม่ใช่เพียงการมองตัวเลขหรือเส้นกราฟธรรมดา แต่เป็นศาสตร์ที่ผสมผสานระหว่างการวิเคราะห์ทางสถิติ จิตวิทยาการลงทุน และความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมตลาด นักลงทุนมืออาชีพมักจะใช้เครื่องมือนี้เพื่อคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของราคา บริหารความเสี่ยง และค้นหาจังหวะการลงทุนที่น่าสนใจ

ความสำคัญของการวิเคราะห์รูปแบบกราฟรูปแบบกราฟประเภทหลักๆ ที่เราสามารถพบเจอได้1. รูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Patterns)2. รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns)

ความสำคัญของการวิเคราะห์รูปแบบกราฟ

การวิเคราะห์รูปแบบกราฟเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการช่วยนักลงทุนตัดสินใจ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก ดังนี้:

  1. คาดการณ์ทิศทางราคา: ช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดเดาแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้อย่างมีหลักการ
  2. ช่วยบริหารความเสี่ยง: ช่วยระบุจุดเข้าและออกการลงทุนที่เหมาะสม รวมถึงจุดตัดขาดทุนที่ควรกำหนด
  3. ทำความเข้าใจจิตวิทยาของตลาด: สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกและพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด

รูปแบบกราฟประเภทหลักๆ ที่เราสามารถพบเจอได้

นักวิเคราะห์จะแบ่งรูปแบบกราฟออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ซึ่งมีความสำคัญและความหมายที่แตกต่างกัน:

1. รูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Patterns)

รูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Patterns) เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าแนวโน้มปัจจุบันของราคามีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปภายหลังจากช่วงพักหรือการชะลอตัว นักลงทุนมักจะใช้รูปแบบนี้เพื่อยืนยันความต่อเนื่องของทิศทางราคาในตลาด โดยมีรูปแบบที่สำคัญๆ เช่น

รูปแบบสามเหลี่ยม (Triangle Pattern)

  • เกิดจากเส้นแนวรับและแนวต้านที่เข้าใกล้กัน
  • สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท: สามเหลี่ยมมุมแหลม สามเหลี่ยมมุมป้าน และสามเหลี่ยมสมมาตร
  • บ่งบอกถึงการหยุดพักชั่วคราวก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวต่อไป

รูปแบบธง (Flags Pattern)

  • เป็นรูปแบบที่แสดงการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
  • มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่มีความผันผวนสูง
  • ช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาได้

2. รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns)

รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns) เป็นสัญญาณที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของแนวโน้มราคา จากขาขึ้นเป็นขาลง หรือจากขาลงเป็นขาขึ้น ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจลงทุน โดยมีรูปแบบที่สำคัญๆ เช่น

รูปแบบหัวและไหล่ (Head and Shoulders)

  • ประกอบด้วยพีคสามจุด โดยพีคกลางสูงกว่าพีคสองข้าง
  • มักเป็นสัญญาณการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นไปสู่แนวโน้มขาลง

รูปแบบฐานคู่ (Double Bottom/Top)

  • รูปแบบที่แสดงถึงการทดสอบระดับราคาเดิม 2 ครั้ง
  • ในกรณีของ Double Bottom จะเป็นสัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น
  • ในกรณีของ Double Top จะเป็นสัญญาณกลับตัวเป็นขาลง

เทคนิคของนักเทรดที่มักจะใช้ช่วยในการยืนยันรูปแบบ


การวิเคราะห์รูปแบบกราฟเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นักลงทุนมืออาชีพจึงมักที่จะใช้เทคนิคอื่นๆ เสริมเพื่อช่วยในการยืนยันสัญญาณและลดความเสี่ยง ต่อไปนี้คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการวิเคราะห์มากยิ่งขึ้น:

1. ปริมาณการซื้อขาย (Volume)

ปริมาณการซื้อขายเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีหลักการดังนี้:

  • ปริมาณการซื้อขายสูงจะช่วยยืนยันความน่าเชื่อของรูปแบบกราฟ
  • การเปลี่ยนแปลงของปริมาณซื้อขายอาจจะบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของราคา
  • ปริมาณต่ำกว่าปกติอาจจะแสดงถึงความไม่มั่นคงของรูปแบบกราฟ

2. เส้นแนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance Lines)

เส้นแนวรับและแนวต้านช่วยให้นักลงทุนเข้าใจขอบเขตการเคลื่อนไหวของราคา:

  • แนวรับ คือระดับราคาต่ำสุดที่สินทรัพย์มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น
  • แนวต้าน คือระดับราคาสูงสุดที่สินทรัพย์มักจะลดลง
  • การทะลุผ่านเส้นแนวรับหรือแนวต้านอย่างมีนัยสำคัญถือเป็นสัญญาณที่สำคัญ

3. เครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ

RSI (Relative Strength Index)

  • ดัชนีวัดความแรงของหลักทรัพย์
  • จะมีช่วงค่า 0-100
  • ค่า RSI ที่เกิน 70 บ่งบอกว่ามีแรงซื้อสินทรัพย์มากจนเกินไป อาจจะทำให้ราคาปรับตัวลงได้
  • ค่า RSI ที่ต่ำกว่า 30 บ่งบอกว่ามีแรงขายสินทรัพย์มากจนเกินไป อาจจะทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นได้

MACD (Moving Average Convergence Divergence)

  • แสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 2 ค่า
  • ช่วยระบุจังหวะการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม
  • สัญญาณซื้อจะเกิดเมื่อเส้น MACD ตัดเส้นสัญญาณขึ้นไป

การเรียนรู้และฝึกฝนเทคนิคการวิเคราะห์แพตเทินกราฟเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ตลาดการเงิน นักลงทุนควรศึกษาอย่างสม่ำเสมอและประยุกต์ใช้เทคนิคเหล่านี้ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

สรุปส่งท้าย


กราฟแท่งเทียนเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่มีความสำคัญในการเข้าใจพฤติกรรมตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟอเร็กซ์ หรือคริปโต การอ่านและตีความแพทเทิร์นต่างๆ ช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทางราคาและจังหวะการเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและเข้าใจถึงความซับซ้อนของรูปแบบกราฟจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาทักษะการลงทุน

การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียนเป็นศาสตร์ที่ผสานระหว่างการวิเคราะห์ทางสถิติ จิตวิทยาการลงทุน และความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมตลาด การใช้เครื่องมือเสริมอื่นๆ เช่น ปริมาณการซื้อขาย เส้นแนวรับ-แนวต้าน และตัวชี้วัดทางเทคนิคต่างๆ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและลดความเสี่ยงในการลงทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ

Crypto News in numbers
editors
Authors List + 66 More
2M+
มีผู้ใช้งานรายเดือนทั่วโลกมากกว่า
250+
มีบทความรีวิวและคู่มือมากกว่า
8 ปี
อยู่ในตลาดมาแล้ว
70 คน
มีทีมงานนักเขียนนานาชาติกว่า